Thursday, July 31, 2008

ISC Chapter 7 Storage

Chapter 7 Storage
Lecture in Class


ภัยคุกคามจากไวรัส จะได้ 2 ทาง คือ
1. Storage
2. Network
**ส่วนใหญ่สาเหตุของการติดไวรัส จะมาทาง Storage และแพร่กระจายทาง Network **
วิธีการป้องกัน
• วิธีที่ดีสุด คือ จำกัดการเข้า web
• วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ไวรัส หยุดทำงาน คือ ปิดเครื่อง
• ส่วน Warm จะมาทาง network วิธีการ คือ ดึงสาย LAN ออก

**การป้องกันมีข้อจำกัดเยอะ และทำได้ยาก **
*************************************************************************************
ตย. การเลือกซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิดอล ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ( Input - Process / Output - Storage)
1. คุณภาพของ Output (รูปภาพ)
2. Input - Storage – ประเภทของหน่วยความจำจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อของกล้อง เช่น
Nikon, Panasonic  SD card
Fuji, Olympus  xD picture card
Sony  Memory stick
Canon  compact flash
*************************************************************************************
รูปแบบของหน่วยความจำ / Storage
1. Magnetic Disks (แบบแม่เหล็ก) เช่น Tape, Floppy disk
2. Optical Discs (แบบใช้แสง)
3. Flash memory
4. MO Disc (แบบผสมระหว่าง Magnetic กับ Optical)
(หน่วยความจำแต่ละชนิด จะถูกพัฒนา ในเรื่องของความเร็วในการ Transfer ข้อมูล)
*************************************************************************************
ประเภทของ Storage มี 2 ประเภท
1. Storage Media หรือ medium
2. Storage Devices -- อุปกรณ์ทำหน้าที่ Reading /Writing process
Storage Medium Storage Device
1. Floppy Disk Floppy Drive
2. Hard disk Storage Media กับ Devices จะแพ็คเป็นตัวเดียวกัน แยกซื้อไม่ได้
3 USB Flash Drive เป็น Medium และ Devices เป็น ship memory ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้สัญญาณไฟฟ้า แต่ถ้าเป็น Notebook ที่มี slot ให้ใส่ Flash memory card = Drive card
Transaction media – ตัวกลางหรือสื่อในการส่งข้อมูล ทั้งแบบสาย และไร้สาย
RAM - primary storage
Storage (Hard disk, CD, DVD, Tape, Floppy disk) - Secondary storage
Storage capacity (ความจุ) ถือเป็นสมบัติอันดับแรก และสำคัญของ storage
Storage ถือเป็นหน่วยความจำที่เป็น Non-Volatility คือไม่ต้องมีไฟฟ้าเลี้ยง ข้อมูลยังอยู่ ไม่หาย เช่น hard disc, Flash Drive แต่ถ้าเป็น RAM ไฟดับข้อมูลหาย
*****************************************************************************************
Storage Device
Read คือ การอ่านจาก media - transfer ข้อมูลจาก storage media มาอยู่ใน memory
Write คือ การ Transfer ข้อมูล จาก Memory (RAM) ไปไว้ใน Storage
Open file คือการ read
Save file คือ การwrite
กระบวนการ Read และ Write ต้องอาศัยอุปกรณ์ Hardware (Hard disc ก็จะมีตัวหัวอ่าน)
*****************************************************************************************
Access time
คือ ช่วงระยะเวลา (มีหน่วยเป็นวินาที) ที่เข้าถึงข้อมูลใน Storage media เมื่อเข้าถึงได้เร็ว ก็สามารถอ่านข้อมูลได้เร็ว
การเข้าถึงข้อมูลใน Hard disc กับ การเข้าถึงข้อมูลใน RAM ต่างกัน ล้านเท่า
เรียงลำดับตามความร็ว ของ Access time / transfer rate (เป็นตัวกัน) (เร็วสุด – ช้าสุด)
Register
Cache
RAM
Hard disc
Flash Memory card
CD / DVD
Tape
Floppy disc

ปัจจัยในการเลือกใช้ระหว่าง CD กับ Floppy disc
• CD มีความจุมากกว่า
• CD บางกว่า
• CD ถูกกว่า
*******************************************************************************************
Track / Sector
Track – แบ่งตามเส้นในทางตรง
Sector – แบ่งตามเส้นผ่านศูนย์กลาง
Bad sector – มีส่วนใดส่วนหนึงเสีย ไม่สามารถอ่านได้

ความจุ = จำนวน Track x จำนวน sector / ถ้าต้องการเพิ่มความจุก็ต้องเพิ่ม track หรือเพิ่มความจุในแต่ละ sector
Hard disk
• เป็นอุปกรณ์ที่มีความจุสูง มีขนาด 3.5 นิ้ว
• Platters 4 แผ่น / มีด้านบน -ล่าง = 8 ด้าน, มีหัวอ่าน 8 ตัว จะอ่านในแนวทรงกระบอก ในแนวดิ่งที่ตรงกันตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลาง และบวกกับการหมุน 200 รอบต่อนาที ทุกจุดบน hard disc จะถูกอ่านทั้งหมด
• แต่ถ้าเก็บไฟล์กระจัดกระจาย ทำให้อ่านข้อมูลช้า เพราะหัวอ่านจะอ่านตามลำดับ
• Cylinders
• Transfer rate 300 MBps
• Access time 8.5 ms
• ควรมี free space เหลือไว้ อย่างน้อย 20% เพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน
***********************************************************************************************
ให้ลองไปสังเกต Property ของ Hard Disk ที่เราใช้อยู่
Hard Disk ทำงานอย่างไร?
Hard Disk จะมีหัวอ่าน ซึ่งจะเคลื่อนที่ตามแนวศูนย์กลาง ในขณะเดียวกัน แผ่น Disk ก็จะหมุน


ตามรูป มี 2 platter 4 หัวอ่าน อยู่บนล่าง
ข้อมูลใน Floppy Disk มองเป็น Sector แต่ใน Hard Disk มองเป็น Cluster
Cluster คือ กลุ่มของ Sector ที่อยู่ในแนวดิ่งเดียวกัน เพราะเวลาหัวอ่านเคลื่อนที่จะไปพร้อมๆกัน ก็จะไปเจอข้อมูลที่อยู่ในแนวดิ่งเดียวกัน

Single Movement คือ เคลื่อนที่ครั้งเดียวไปทั้งแผง สามารถเข้าถึงข้อมูลทุก platter ในทรงกระบอกเดียวกัน
เพราะฉะนั้นการเก็บข้อมูล ก็จะเก็บเป็น Cluster (ในแนวดิ่ง) และถ้าเก็บเรียงกันด้วยก็จะดี เพราะเวลาหมุนก็จะอ่านข้อมูลได้ในรอบเดียว

การทำ Disk Defragmenter ก็จะทำให้ข้อมูลมาเรียงกัน ให้อยู่ใน Sector ที่ติดกัน ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว
สรุปก็คือ การเคลื่อนที่ของหัวอ่านกับการหมุนของจาน จะทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกๆ Cluster

Head crash ระหว่างหัวอ่านกับ Platter จะมีช่องว่างอยู่ แต่ถ้ามาสัมผัสกันจะเกิดการ crash ขึ้น
Disk Cache [Cache ของ Disk]
Virtual Memory เอา HD มาทำงานเป็น RAM ได้ความจุเยอะ Memory เพิ่มขึ้น ถึงจะช้าลงก็ตาม
Disk Cache เอา RAM มาทำเป็น Disk ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ความจุลดลง ถ้าเราต้องเข้าถึงข้อมูลใน Hard Disk บ่อยๆ ก็จะทำงานได้ช้า จึงเอาข้อมูลนั้นมาเก็บไว้ใน RAM (เอา RAM ส่วนหนึ่งมาจำลองเป็น Disk) เมื่อต้องการใช้ข้อมูลก็จะเข้าไปหาใน Disk Cache ก่อน ถ้าไม่มีจึงเข้าไปหาใน Hard Disk
ถ้าข้อมูลที่จะใช้อยู่ใน Disk Cache ก็จะทำงานได้เร็วขึ้น 1 ล้านเท่า แต่ถ้าไม่มีใน Disk Cache ก็ทำงานที่ความเร็วปกติ

Storage Medium
1. Floppy Disk
2. Hard disk
3 USB Flash Drive

Storage Device
1. Floppy Drive
2. Storage Media กับ Devices จะแพ็คเป็นตัวเดียวกัน แยกซื้อไม่ได้
3. เป็น Medium และ Devices เป็น ship memory ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้สัญญาณไฟฟ้า แต่ถ้าเป็น Notebook ที่มี slot ให้ใส่ Flash memory card = Drive card

ก่อนหน้านี้เราเรียนเรื่อง Memory Cache
คำสั่งหรือข้อมูลที่ใช้บ่อยจะถูกเก็บไว้ใน RAM ระหว่างนั้นก็จะทำสำเนาไว้ที่ Cache Memory ด้วย
ถ้าข้อมูลที่จะใช้ครั้งต่อไปมีอยู่ใน Cache แล้ว ก็ไม่ต้องไปดึงจาก RAM เพราะการเข้าถึงข้อมูลใน Cache จะเร็วกว่าใน RAM ถ้าไม่เจอใน Cache จึงไปหาใน RAM (แต่ถ้าไม่เจอใน RAM แสดงว่ายังไม่ได้ Load Program)


ทั้ง Disk Cache และ Memory Cache เป็นหน่วยความจำในตระกูล RAM
การทำ Cache จะต้องเอาหน่วยความจำที่เร็วกว่ามาทำเป็น Cache ของหน่วยความจำที่ช้ากว่า
เช่น เอา Hard Disk (เร็วกว่า) มาทำเป็น Cache ของ Flash Drive (ช้ากว่า)

• Cache ช่วยเพิ่มความเร็ว
• Virtual Memory ช่วยเพิ่มความจุ แต่ยอมช้า ใช้ในกรณีที่ RAM ไม่พอที่จะ Run Application

Buffer เป็นที่พักข้อมูลชั่วคราว ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับ RAM ใน Hard Disk บางรุ่นจะมี Buffer มาด้วย
RAID (Redundant Array of Independent Disks)เป็น Hard Disk ที่มีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น เพราะมีส่วนที่เก็บข้อมูลแยกกันย่อยๆ อาจมีความซับซ้อนบ้าง แต่ก็เพื่อความน่าเชื่อถือ เช่น มีข้อมูลบางส่วนเสียหายก็มี Backup อยู่ ใช้กับเครื่อง Server แบบ Duplicate มี Hard Disk 2 ก้อน Size เดียวกัน แต่ใช้เหมือนก้อนเดียว แต่ต้องมี RAID Controller ก็จะมีข้อมูล Backup เมื่อ Hard Disk เสียหาย แต่ไม่ได้ช่วยกู้ข้อมูลจากการลบ เพราะต้องใช้ Software ในการกู้ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเขียนทับ

Miniature Hard Disk
Hard Disk ขนาดเล็ก ขนาด 1.8” ก็จะอยู่ตามอุปกรณ์ขนาดเล็ก ความจุก็จะน้อยด้วย (แต่ก็มากกว่า Flash Drive)
Hard Disk Notebook ขนาด 2.5”
Hard Disk PC ขนาด 3.5”
External Hard Disk

สาเหตุที่ต้องใช้ External Hard Disk
1. ต้องการเคลื่อนย้ายข้อมูลที่มีขนาดใหญ่กว่าความจุของ Flash Drive
2. ต้องการขยาย Hard Disk ของเครื่อง แต่ไม่สามารถติดตั้งภายในได้

Disk Controller อยู่บน Main board
1. EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) แบบเก่า ใช้คู่กับ CD/DVD Drive เป็น PATA (Parallel Advanced Technology Attachment)
2. SATA (Serial Advanced Technology Attachment) ความเร็วสูงขึ้น เครื่องรุ่นเก่าๆจะไม่รองรับ SATA
3. SCSI ใช้งานกับเครื่อง Server

Online Storage
เก็บข้อมูลโดยที่ไม่ต้องรู้ว่า Hard Disk อยู่ที่ไหน โดย Web Hosting จะให้แถมบริการนี้มาด้วย
Floppy Disk หรือเรียกว่า diskette
อาจจะยังให้กับระบบหรืออุปกรณ์บางตัวที่ยังใช้สืบทอดกันมาก็ยังใช้อยู่ (Legacy) แต่ไม่ค่อยมีใช้กับ PC และ Notebook แล้ว

************************ BreaK*********************************************

Storage เราพูดถึงไหนเมื่อสัปดาห์ก่อน (พูดถึง Floppy Disk) ถ้าปัจจุบันยังใช้ Floppy disk อยู่คุณนึกออกไหมว่าจะใช้เมื่อไหร่ หรือยังไงก็จะไม่ใช้ เช่นถ้าอาจารย์จะแจกตัวอย่างข้อสอบใน Floppy disk คุณยังอยากจะใช้ Floppy disk อยู่หรือเปล่า คราวที่แล้วจำถึงคุณสมบัติได้ไหมคุณสมบัติที่เราสนใจคือ Storage Capacity ความจุเท่าไหร่ที่เราคิดว่าเหมาะสมกับความต้องการการใช้งาน Storage Capacity ตัวแรก Storage ที่เป็น secondary storage หลัก ๆ คือ Hard disk เป็นตัวเก็บข้อมูลถาวรไฟดับก็ไม่เป็นไร มี secondary disk storage ตัวไหนบ้างที่ไฟดับข้อมูลหาย ไม่มีหรอก ยังไง Primary คือ Ram แล้ว Cash ถือเป็น Primary หรือไม่ แต่มันก็ทำงานเหมือน Primary Storage เหมือน Primary Memory จะบอกมันก็ไม่เกี่ยวกันเลยก็คงไม่ใช่ ถ้าเราบอกว่า Memory มันมี Primary Secondary บางแห่งอาจจมี Tertiary เคยได้ยินหรือป่าวอันดับสาม ตติยภูมิ ไล่ไปก็จะมี ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิก็มี อย่างหนังสือบางเล่มตัวมีเดีย เช่น พวก CD Floppy Disk คือพวก Storage ที่เคลื่อนย้ายได้ เป็น Portable หรือ external บางทีก็เรียกได้เหมือนกัน แต่บางตำราก็เหมาหมดเป็น Secondary Storage

คือปกติถ้า Storage ที่เป็น Disk แน่นอนคือ Storage ที่เก็บข้อมูลถาวรถ้าเก็บแล้วหายคือเก็บข้อมูลไว้ที่เมมโมรี่ คุณสมบัติอันหนึ่งคือเรื่องของ Access Time เข้าถึงข้อมูลได้เร็วหรือช้า ที่นี คราวที่แล้วที่ผมพูดถึงมี Access Time และก็มี Transfer Rate คุณเข้าใจว่ายังไงได้ลองไปทำความเข้าใจหรือยังว่ามันคืออะไร หัวข้อคือ Access Time แต่ในนี้พูดถึง Transfer rate ไม่ได้พูดถึง Access Time คุณเข้าใจว่าไง อันหนึ่งเข้าถึงข้อมูลอีกอันหนึ่งถ่ายโอนข้อมูล ไม่เหมือนกันแต่สัมพันธ์กัน อย่างฮาร์ดดิสหมุน ด้วยความเร็วในการหมุนของฮาร์ดดิสมีผลต่อแอกเสสไทม์ ถ้าเราไปดูเสปคของฮาร์ดดิสที่มีความเร็ว 5400 กับ 7200 แอก ต่างกัน คือฮาร์ดดิสที่มีความเร็วสูงการเข้าถึงขอมูล ณ จุดนั้น ก็จะเร็วตาม ส่วนการทรานเฟอร์ มันก็ต้องเกี่ยวกับระบบบัส การรับส่งข้อมูลเป็นการสื่อสารแบบหนึ่งในระหว่างอุปกรณ์ สังเกตุไหมว่าหน่วยความจำที่อยู่ใกล้ ซีพียู คือ Register มา Cash มา RAM มา Hard Disk แล้วก็ไป CD

สังเกตุไหมว่า หน่วยความจำที่อยู่ใกล้ซีพียู ความจุน้อยความเร็วสูงแต่ถ้าอยู่ไกลความจุมากความเร็วต่ำ จริง ๆ แล้วซีดีมีความจุมากกว่าฮาร์ดดิส ฮาร์ดดิสใช้กี่ก้อน 1 ก้อน แต่ซีดีคุณมีได้กี่แผ่นได้เยอะกว่า 1 แผ่น วันก่อนผมถ่ายวีดีโอไว้ในเทป แล้วผมก็แปลงไฟล์เป็น .AVI ไฟล์ประมาณ 7 GB คราวนี้จะ Copy ไปไว้ในที่ที่อื่นแต่ทำไม่ได้ ก็เลยต้องใช้พาติชั่นเมจิกช่วยนิดหน่อยเลย Copy ได้ ทราบหรือไม่ว่าทำไมผมไม่สามารถ Copy ไฟล์ได้ เพราะ Windows Memory มันรู้จักแค่ 4 GB คือ 2 ยกกำลัง 32 ก็คือ 4 GB ถ้าระบบโฟล์เป็น FAT 32 ก็จะก๊อปไฟล์ได้ไม่เกิน 4 GB ก็เลยต้อง Create Partition เป็น NTFS ก็เลย ก๊อปได้มากกว่า 4GB ได้

ให้ไปดู Hard Disk ตัวเองว่ามีโครงสร้างอย่างไร ตกลงเราใจความหมายของ Disk Cash ก่อนหน้านั้นเรามีคำว่า Cash Memory อันนี้ Disk Cash พอเข้าใจความหมาย แล้วมีคำว่า Buffer เราได้ยิน Buffer ที่ไหนบ้าง Hard Disk เขาเรียกว่า Buffer เขาไม่ได้เรียกว่า Cash หรือปริ้นเตอร์ก็มีบัฟเฟอร์ หลัก ๆ คือมันเป็นที่พัก ด้วยหลักที่ว่าพักแล้วอาจจะมีความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึง เดี๋ยวนี้ Hard disk เริ่มมีจำหน่ายเป็น Hard Disk เอกเทอนอล ที่เราไม่ต้องซื้อ Hard Disk Internal แล้วต้องมาซื้อกล่อง คุณสมบัติมากขึ้นแต่ราคาถูกลง ส่วนเรื่องความเร็ว ก็ลองเทียบกันดู ส่วนเรื่องราคาเดี๋ยวนี้ Hard disk แบบ External เดี่ยวนี้ราคาถูกลง วันก่อนผมไปดู Hard Disk 1 TB ก็ราคาไม่ ถึงหมื่น สมัยก่อนซื้อ Hard Disk 30 MB ราคา แปดพัน เดี๋ยวนี้ 1 TB ราคาไม่ถึงหมื่น

เมื่อไหร่คุณจะมี package Hard Drive ภายนอก หรือว่ามีแค่ Flash Drive ก็พอ หรือขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูล อย่าง Hard Disk 120 GB เราจะเก็บโปรแกรมเยอะหรือไม่ หลัก ๆ แล้ว Hard Disk ที่อยู่ประจำเครื่องเราจะเก็บอะไร ก็มี Program กับ DATA แล้ว Data ที่เราไม่ได้ใช้เลยจะอยู่ที่ Hard Disk หรือป่าว เราจะเก็บไว้หรือไม่ เอาเป็นว่าถ้าโปรแกรมที่เราไม่ใช้เลย อย่างสองปีใช้ครั้งเราจะเก็บไว้หรือป่าว แต่ถ้าพื้นที่เราเหลือก็ไม่มีปัญหาถ้าไม่ทำให้ Performance ลดลง

เมื่อ Floppy Disk หายไปแล้วอะไรมาแทน ก็มี CD DVD Flash Drive แล้วแต่กรณี ถ้าเมื่อก่อน Software ที่มากับหนังสือก็จะเป็น Floppy Disk เดี๋ยวก็จะเป็น CD ถ้าเป็น เกมส์ CD ก็อาจจะหลายแผ่น ก็ต้องเป็น DVD ถ้าให้นักศึกษาส่งงานส่ง Project ก็ต้องมี CD ข้อมูลของ Project ต่อมา Optical Disk จะเป็นข้อมูลดิสที่เป็นตัวซี ดิสกลม ๆ พูดถึงซีดีทำงานโดยการบันทึกข้อมูล 0 กับ 1 มันเก็บ Digital Binary พอแสงกระทบ มันจะยังไงมันมีสะท้อนกับไม่สะท้อน สะท้อนเป็นหนึ่ง ไม่สะท้อนกลับเป็น ศูนย์ มันจะมีตัวเซ็นเซอร์รับแสง ว่ามีแสงเข้ามาหรือเปล่า ถ้าไม่มีแสงเป็นศูนย์ถ้ามีเป็นหนึ่ง

ตรงนี้เป็นส่วนที่ต่างจาก Hard disk Hard disk เราแบ่งเป็น Track เป็น Sector แต่ซีดีม้วนมาจากด้านใน สังเกตุจากการที่เรา write แผ่น ซีดี จะเริ่มจากด้านใน ออกมายังด้านนอกเราสามารถไรท์แผ่นซีดีได้กี่ครั้งขึ้นอยู่กับการไรท์ครั้งแรก เราจะสั่งให้เป็นแบบมัลติเซกชั่น เมื่อไหร่เราควรจะเป็นมัลติเซกชั่นถ้าเราไรท์ไว้ใช้เองก็ควรจะเป็นหลาย ๆ เซกชั่นแต่ถ้าไรท์ให้คนอื่นไรท์ก็ปิดไปเลย แต่ละเซกเตอร์มันก็จะไปเรื่อย ๆ นี่คือที่มันต่างกันอยู่ ซีดีรอมคือแผ่นที่มีข้อมูล Media อยู่ด้านในจะเรียกว่า ซีดีรอม แต่แผ่นที่เป็นแผ่นเปล่าจะเรียกว่า CDR CDRW คราวนี้ Drive ความสามารถในการ Transfer ขึ้นอยู่กะตัวไดรท์ เพราะไดรท์มีอินเตอร์เฟทที่เชื่อมอยู่กับระบบและความสามารถของไดรท์มันอ่านได้เร็วแค่ไหนมันหมุนได้เร็วหรือ Transfer ได้เร็วขึ้นอยู่กับตัวไดรท์ Transfer ความเร็วเป็น 48 X หรือ 50 กว่า ส่วนใหญ่ Note Book ความเร็วจะต่ำกว่า PC นิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่น Hard disk ของ Note book ความเร็วรอบส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5400 ส่วน PC จะอยู่ที่ 7200

CD ที่มีความจุ 700 MB ถึง 800 MB แต่ปกติอยู่ที่ 700 MB อยู่ที่ 80 นาที ถ้าอัด Audio ซีดีก็มีมากมาย หรืออย่าง CDR จะWrite ก็มีหลาย Format ก็ขึ้นอยู่กับ Drive ของเราที่จะไรท์ อย่างเช่นถ้าเราจะซื้อเครื่องเล่น เราก็ต้องดูเสปคว่ามันอ่านแผ่นอะไรได้บ้าง อย่างเช่นเมื่อก่อนเครื่องเล่นจะอ่านได้แต่ Audio อย่างเดียวถ้าเราเอาแผ่นหนังใส่เข้าไปก็จะอ่านไม่ได้ DVD เมื่อสมัยแรกย่อมาจากคำว่า Digital Video Disk เป็นแผ่นสำหรับภาพยนต์ หลังจากนั้นการใช้งานหลากหลายขึ้น เขาก็เลยเปลี่ยน Video มาเป็น Versatile ส่วน Blueray ปัจจุบันเป็นของค่ายของ Sony HDDVD เป็นของ Toshiba แต่ Toshiba ก็ยอมแพ้ไปแล้ว

ปัจจุบันถ้าพูดถึง DVD ที่มีความจุถึงก็จะนึกถึง Blue ray อย่างเดียว ทำไม CD มาเป็น DVD แล้วก็มาเป็น Blue Ray เพราะอะไร ถ้ามองกันเรื่องหนังก็เพื่อที่จะให้คุณภาพ สี เสียง และภาษาที่ได้มากขึ้น ถ้าเรามีจอทีวีที่บ้าน 7 นิ้ว แล้วมาเปิด CD กับ DVD ก็ไม่ต่างกัน ถ้าจอใหญ่ขึ้นความสามารถของเครื่องเล่นและแผ่นก็ต้องดีขึ้น CD และ DVD มีสองหน้าแต่ส่วนใหญ่เราจะใช้แค่หน้าเดียว ในแต่ละหน้าจะบันทึกข้อมูลได้ 2 Layer ถ้าบันทึกข้อมูลหน้าเดียวสูงสุด 4.7 GB อันนี้เป็นแบบ DVD 5 ถ้า 8.5 GB จะเป็น DVD 9 ต่างกันอย่างไร 5 กับ 9 ความจุ 9 จะจุได้มากกว่าภาพ Video ความละเอียดจะดีกว่า ปกติส่วนใหญ่ Blue ray จะประมาณ 50 GB ใช้หน้าเดียว มี 2 Layer

คราวนี้เวลาเราไปซื้อแผ่น CDR เราจะเลือกซื้อ + R หรือ – R ถ้าเป็นสมัยก่อน – Rจะใช้สำหรับ Write หนัง เพราะเครื่องเล่มตามบ้านส่วนใหญ่จะอ่านแต่แผ่นที่เป็นประเภท – R ส่วน + R จะใช้สำหรับ Write ข้อมูล เปิดอ่านใน Computer แต่สมัยนี้เครื่องอ่านสามารถอ่านได้หมดทั้ง +R และ –R เทปหลัก ๆ จะใช้ Backup เพราะเก็บข้อมูลได้เยอะราคาถูก จริง ๆ เทปก็มีมาตรฐานเยอะแบบพื้น ๆ ก็คือ DAT ถ้าจะซื้อเทปก็ต้องดูว่า มีมาตรฐานอะไรมีทั้งแบบ DAT มีทั้ง DLT มีหลายตัว ความจุประมาณ 40 – 80 GB ถ้า Write ต่อเทปก็ได้ไม่น้อย ถ้าจะ Backup ขนาด 1 TB เราก็ต้องมีตัวที่สามารถใส่ Tab ได้เยอะ ๆ คือตัว Automatic Tape Loader เทปเก็บข้อมูลแบบซีเควนเชียล ตามลำดับ เลยเหมาะสำหรับการเบคอัฟถ้าเราเอาเทปมาทำอย่างอื่นก็คงไม่เหมาะ

พวก Hard disk CD เข้าถึงแบบ Direct แต่เทปต้องทำงานม้วนตามลำดับ Storage ตัวต่อไป PC CARD PCMCIA แต่ปัจจุบันจะเรียก PC Card ถ้าจะเพิ่มความสามารถของ PC ก็ต้องซื้อ Card มาเสียบเพิ่ม เช่น Lan Card , TV Card เป็นต้น ถ้าเป็น NB ก็ต้องเป็นแบบ PC CARD ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างสูง อย่างเช่นเครื่อง Notebook ที่ไม่มี Wireless Lan ก็ต้องไปซื้อมา PC Card มาเสียบ ราคาประมาณ 4000 บาท ก็ไม่คุ้ม

ต่อไปเป็น Storage ขนาดเล็กอื่น ๆ ยี่ห้อดัง ๆ ก็มี Sandisk ส่วน Compaq Flash ก็ใหญ่ขึ้นมาหน่อย Card แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร ถ้าให้ตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดจะเลือกอะไร ถ้าเป็น SD Card ก็จะใช้ในกล้อง Digital มากที่สุด เช่น Cannon Panasonic Samsung ถ้า XD Card เฉพาะกล้อง Fuji และ Olympus ถ้า Compaq Flash ก็จะเป็นกล้อง Cannon รุ่นใหญ่หน่อย Memory Stick ก็จะเป็นของ Sony เป็นหลัก ส่วนใหญ่ถ้าจะเอามาใช้ใน PC หรือ Note Book ก็ต้องใช้ Card Reader

ถ้าจะบอกว่า Flash Memory Card ของข้าพเจ้าเสปคเป็นอย่างไร เช่น ความจุสูง Transfer Rate Access Time ราคาถูก แต่ถ้าขนาดเล็กเกินไปก็ไม่ดีหายง่าย บางครั้งก็ใส่แล้วจม Card Reader ไปเลย เดี๋ยวนี้กล้องถูก ๆ ก็สามสี่พัน SD Card ดี ๆ หน่อยก็หลายพัน บางที Card กับกล้อง ราคาเท่ากัน สมัยก่อน ซื้อกล้องเขาแถม Card มาให้ให้ 8 MB แล้วมันทำอะไรได้บ้าง ก็ถ่ายได้ 2 รูป ถ้ากล้องละเอียด ๆรูปหนึ่งก็ประมาณ 3 – 4 MB

Flash Memory Card ทำงานอย่างไร จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องมี Card Reader เช่น Notebook คิดว่าจำเป็นหรือไม่ ถ้ามีก็สะดวก ถ้าไม่มีก็ต้องต่อสายจากล้องเอา Flash Drive ปัจจุบันมีความจุเท่าไหร่ เมื่อสมัยก่อน 64 GB ก็มี แต่ราคาหลายหมื่นบาท จริงๆ แล้วอะไรที่มา แทน Floppy Disk บางส่วนคือ CD บางส่วนคือ Flash Drive ถ้าเราจะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่มี Flash Drive ต้องได้

เช่นข้อสอบผมจะออก ถ้าคุณกลับไปใช้ชีวิตแบบไม่มี Flash Drive คุณจะใช้ชีวิตแบบใดให้รู้สึกว่ามีความสะดวกสบายเหมือนเดิม ขาดมันไม่ได้เลยเหรอ มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ ต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ได้นะ แต่ถ้ามันมีอยู่แล้วในปัจจุบันเราก็ยอมรับว่ามันสะดวก แต่เราก็ต้องอยู่ได้ Smart Card เป็น Storage ชนิดหนึ่ง เก็บไว้ในชิป Smart Card มีสองแบบ แบบที่มี Processor กับ ไม่มี Processor ดูลายก็พอดูออกว่ามีหรือไม่มี แบบที่ไม่มีราคาประมาณ 30 กว่าบาท Smart Card ที่มี Processor ถือว่าเป็น Computer หรือไม่ มี หน่วยความจำ มี Input Output Storage ครบ ถือว่าเป็น Computer หรือไม่ สรุปคือไม่เป็นเพราะตัวมันเองทำงานไม่ได้ต้องใช้เครื่องอ่าน Smart Card

Micro film เดี๋ยวนี้ก็เลิกใช้แล้ว เพราะเดี๋ยวนีสามารถ Scan เป็น Image เก็บเป็น File อายุการใช้งานของ Micro film ได้เป็นร้อยปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเก็บด้วยทั้งอุณภูมิ ความชื้น มีผลเหมือนกัน แต่มีข้อแม้ต้องขึ้นอยู่กับตัว high quality media เช่นถ้า Princo จริงก็อายุอาจจะนานหน่อย ถ้าของปลอมอายุจะสั้น บทต่อไปก็จะเป็นรายละเอียดแนะนำขนาด Hard disk ที่ควรจะใช้ในแต่ละที่ ก็เป็นแค่ตัวอย่างไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ทำตามเขาแล้วจะผิด อย่าง Mobile Hard Disk ก็มีขนาด 100 GB Power User 1.5 TB

ปัจจุบัน Hard disk 1 ก้อน ปัจจุบันมีขนาด 1.5 TB ถ้าคุณมี PC คุณจะมี Hard Disk 1 ก้อน หรือ 2 ก้อนดี จะซื้อ 1 TB ก้อนเดียว หรือ 500 GB 2 ก้อน จะทำเป็น Raid ดีไหม Raid 0 ก็ได้ มี Hard Disk 2 ก้อน ช่วยอะไรได้บ้าง ความเร็วสูงขึ้นไหม 2 ก้อนแบบแยกต่างหาก กับ2 ก้อนทำเป็น raid มีคนบอกว่าทำเป็น raid จะเร็วขึ้น คือเราก็อยากจะได้คือ 1 ความเร็ว 2 คือน่าเชื่อถือ

large business แนะนำให้ใช้ 40 TB เขามี Network Storage Server มี เป็น SAN (Storage Area Network) อย่างลาดกระบังเราก็ไม่ใหญ่พอที่จะใช้ SAN ใช้เป็น NAS (Network Attached Storage) มีบริษัทใครใช้ SAN บ้าง (CAT Telecom มี) เพื่อประสิทธิภาพควรใช้ SAN อย่างลาดกระบัง ก็ไม่ใช้งานอะไรมากมายก็ไม่จำเป็นต้องมี เดี๋ยวหลังเบรคจะพูดในภาพรวม ทุกคนต้องช่วยกัน ไหน ๆ ก็สรุปทีเดียวเลยแล้วกัน

Break.................................

No comments: