DCM Summerize Sound Clip
Chapter 5: Multiplexing and Data Compression
ในช่วงท้ายของบทที่ 4 เราได้พูดถึงรูปแบบการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน 2 รูปแบบ นั่นก็คือ การเชื่อมต่อแบบ Point-to-point และ การเชื่อมต่อแบบ multipoint
การเชื่อมแบบ Point to Point จะเป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สาย 1 เส้น ในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ฝั่งส่ง เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ฝั่งรับ หากเราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 ฝั่งสามารถรับส่งข้อมูลได้พร้อมๆ กัน จำเป็นจะต้องมีสาย 2 เส้น โดยเส้นหนึ่งจะใช้สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างฝั่งส่งไปยังฝั่งรับ และอีกเส้นหนึ่งใช้สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างฝั่งรับไปยังฝั่งส่ง
การเชื่อมต่อแบบ Multipoint เป็นการเชื่อมต่อที่ใช้สาย 1 เส้นเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นผู้ส่งข้อมูลได้มากกว่า 1 เครื่อง ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับคือ ทำให้ประหยัดสายนำสัญญาณไปได้ โดยสามารถแชร์สายนำสัญญาณ 1 เส้นในระหว่างคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลได้มากกว่า 1 เครื่อง
ในบทนี้เราจะมาพูดถึงอีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการแชร์สายนำสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ส่งข้อมูลได้มากกว่า 1 อุปกรณ์พร้อมๆ กัน เรียกว่า การทำ Multiplexing
เนื้อหาที่จะพูดในบทนี้
1. เนื้อหาทั่วไปของการทำ Multiplexing
2. เทคนิคของการทำ Multiplexing หลักๆ มีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ Frequency Division Multiplexing, Time Division Multiplexing และ Statistical – Time Division Multiplexing
ในกรณีของการเชื่อมต่อแบบ point to point สายนำสัญญาณ 1 เส้น จะเอาไว้ใช้ส่งสัญญาณจากเครื่องที่เป็นผู้ส่งข้อมูลไปยังเครื่องที่เป็นผู้รับข้อมูลเท่านั้น ถ้าเราต้องการจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง สามารถส่งสัญญาณเข้าไปในสายนำสัญญาณเส้นเดียวกัน นั่นหมายความว่า ช่องนำสัญญาณจะต้องนำส่งข้อมูลจากเครื่องหลายๆ เครื่องเข้าไปในช่องสัญญาณได้พร้อมๆ กัน
วิธีการที่จะทำให้เราสามารถแชร์สายนำสัญญาณระหว่างเครื่องที่เป็นผู้ส่งข้อมูลหลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ เราเรียกว่า วิธีการ Multiplexing ซึ่งเป็นวิธีการอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะแชร์ช่องนำสัญญาณ หรือสายนำสัญญาณได้ นอกเหนือจากการเชื่อมต่อแบบ multipoint ที่ได้พูดไปในบทที่ 4 โดยวิธีการ Multiplexing มี 3 วิธี
ภาพสไลด์ที่ 4 ในไฟล์เสียง เป็นการทำ Multiplexing ในการทำสื่อสารข้อมูล กับการทำ Multiplexing ในระบบของการส่งจดหมาย
ในภาพจะเห็นว่า มีจดหมายหรือสิ่งของที่ต้องการส่งจาก 3 แหล่งด้วยกัน แทนที่จาก 3 แหล่งจะใช้รถขนพัสดุคนละคนกัน ขับไปบนถนนคนละเส้นกัน เพื่อไปให้ถึงจุดหมายอีกฝั่งหนึ่ง แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พัสดุจาก 3 แหล่ง ก็ถูกนำมารวมไว้ในรถคันเดียวกัน เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางก็นำพัสดุแต่ละชิ้นออกจากตัวรถ แล้วนำส่งไปยังจุดหมายปลายที่ที่ถูกต้อง สำหรับพัสดุแต่ละชิ้น
ตรงนี้จะเหมือนกับการสื่อสารข้อมูลที่เราสามารจะแชร์ตัวรถ แล้วก็ตัวถนนร่วมกันได้ ระหว่างผู้ส่ง 3 แหล่งในที่นี้ และผู้รับ 3 จุดในที่นี้ สามารถจะแชร์ช่องสัญญาณหรือสายนำสัญญาณไปยังในเส้นเดียวกันได้
วิธีการ Multiplex
Frequency Division Multiplexing (FDM)
หลักการ คือ การส่งข้อมูลโดยการใช้สัญญานอนาล็อกที่มีความถี่แตกต่างกัน แล้วก็ส่งไปในสายนำสัญญาณเส้นเดียวกัน เนื่องจากว่าสัญญาณมีความถี่ต่างกัน จึงไม่รบกวนกัน ทำให้เราสามารถส่งสัญญาณจากหลายๆ แหล่งเข้าไปในช่องสัญญาณเดียวกันได้ โดยไม่รบกวนกัน
กระบวนการในการรวมข้อมูล หรือสัญญาณจากหลายๆ แหล่ง ส่งเข้าไปยังช่องนำสัญญาณเดียวกัน เราเรียกว่า กระบวนการ Multiplexing โดยอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว เรียกว่า Multiplexor
เมื่อสัญญาณที่มาจากหลายๆ แหล่ง และใช้ความถี่แตกต่างกัน เดินทางเข้ายังในช่องนำสัญญาณ แล้วไปยังอีกฝั่งหนึ่งก็จะมีอุปกรณ์ที่เป็นคู่กัน เรียกว่า demultiplexer ที่ทำหน้าที่แยกสัญญาณไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการต่อไป
ภาพที่แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อทั่วไป โดยใช้กระบวนการ Multiplexer ซึ่งในภาพนี้คำว่า FDM เป็นชื่อย่อของ Frequency Division Multiplexing
เนื่องจากโดยทั่วไป อุปกรณ์ multiplexer มีความสามารถในการรับ และส่งข้อมูลได้ ดังนั้นในอุปกรณ์ multiplexer เครื่องหนึ่งๆ โดยปกติจะสามารถทำได้ทั้งการทำ multiplexing เมื่อต้องทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข้อมูล และสามารถจะทำหน้าที่ในการ demultiplexing เมื่อรับข้อมูลเข้ามาได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า multiplexor
ภาพสไลด์ที่ 6 ในไฟล์เสียง
ในภาพนี้เราอาศัยอุปกรณ์ multiplexor เพื่อรวมข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ ส่งไปในสายนำสัญญาณเช่นเดียวกัน เมื่อไปถึงปลายทางก็จะมีอุปกรณ์ multiplexor อีกตัวหนึ่งทำหน้าที่แยกสัญญาณซึ่งมาจากคอมพิวเตอร์ให้ไปออก ในภาพนี้ก็คือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในขณะที่สัญญาณโทรศัพท์ผ่านเข้ามา ตัว multiplexor ก็จะทำหน้าที่แยกสัญญาณให้ไปออกที่ระบบโทรศัพท์
หลักการ Frequency Division Multiplexing เป็นหลักการที่ใช้ในระบบ ADSL ซึ่งจะพูดในบทอื่นๆ ต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า การเชื่อมต่อโดยใช้ multiplexor นั้น ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องใช้กับ Frequency Division Multiplexing เท่านั้น โดยการเชื่อมต่อด้วยตัว multiplexor ทุกแบบจะต้องมีอุปกรณ์ที่เหมือนกันทั้งฝั่งส่ง และฝั่งรับ โดยทางฝั่งส่ง อุปกรณ์ multiplexor จะทำหน้าที่รวมสัญญาณเข้ามา และส่งไปยังช่องนำสัญญาณเดียวกัน ส่วนทางฝั่งรับ ก็ต้องทำหน้าที่แยกสัญญาณออกเพื่อส่งไปยังจุดหมายที่ถูกต้องต่อไป
ภาพด้านล่าง (ในสไลด์ที่ 6) จะแสดงให้เห็นว่า ช่องนำสัญญาณประกอบไปด้วยสัญญาณที่มีความถี่แตกต่างกัน 2 ความถี่ แต่ละความถี่มาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน อย่างในภาพนี้ Channel ที่ 1 มาจากสัญญาณโทรศัพท์ใช้ความถี่ 4 KHz ในการส่งสัญญาณข้อมูล ในขณะที่ Channel ที่ 2 ที่เราเรียกว่า Data signal (ในภาพนี้) เป็นสัญญาณที่นำข้อมูลมาจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ความถี่ที่แตกต่างจากอันแรก ก็จะทำให้สัญญาณทั้ง 2 อันไม่รบกวนกัน แม้ว่าจะส่งไปในสายนำสัญญาณเส้นเดียวกันก็ตาม
การใช้วิธีการ Multiplexing ลักษณะอย่างนี้ ทำให้เราสามารถแบ่งสายนำสัญญาณซึ่งเดิมทีเป็น 1 ช่องสัญญาณ (หมายความว่า ใช้รับหรือส่งจากเครื่องหนึ่ง ไปยังอีกเครื่องหนึ่งที่อยู่คนละฝั่งได้) ให้มีช่องสัญญาณเพิ่มขึ้นได้
โดยการใช้หลักการของ Frequency Division Multiplexing นั้นช่องนำสัญญาณที่เคยเป็น 1 ช่องต่อ 1 สาย ก็เสมือนว่ามี 2 ช่อง แต่ยังใช้สายเส้นเดียวกันอยู่ โดยช่องที่ 1 เอาไว้ส่งสัญญาณทางโทรศัพท์ ส่วนช่องที่ 2 เอาไว้ส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ โดยการทำ multiplexing แบบนี้ ก็ทำให้ 1 ช่องสัญญาณกลายมาเป็นหลายช่องสัญญาณได้ เพื่อใช้ส่งข้อมูลจากแหล่งที่แตกต่างกัน ไปสู่จุดหมายปลายทางที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างการใช้งาน Frequency Division Multiplexing ในปัจจุบัน
1. ระบบการกระจายคลื่นวิทยุ และโทรทัศน์ จะใช้กันมาก
2. ระบบ Cable TV
3. ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เป็นระบบอนาล็อก
ทั้งนี้ Frequency Division Multiplexing ถือเป็นเทคนิค Multiplexing ที่เก่าแก่ที่สุด ใน 3 วิธีที่กล่าวถึงนี้
ข้อเสีย คือ มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ เนื่องจากการใช้ประโยชน์จาก bandwidth ของช่องสัญญาณนี้ไม่ดีนัก เมื่อเปรียบเทียบกับแบบอื่น (รายละเอียดจะพูดในชั้นเรียนอีกทีหนึ่ง)
Time Division Multiplexing
วิธีการนี้แทนที่เราจะใช้สัญญาณอนาล็อกที่มีความถี่ที่แตกต่างกัน เพื่อจะส่งไปในสายเส้นเดียวกันได้ ดังเช่นกรณีของ Frequency Division Multiplexing
แต่ในกรณีของ Time Division Multiplexing ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน จะถูกส่งไปโดยใช้ความถี่เดียวกัน ถ้าเป็นสัญญาณอนาล็อก หรือส่งไปด้วยสัญญาณดิจิตอล โดยในกรณีนี้จะไม่มีการแบ่งความถี่ แต่ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ กันนี้สามารถแชร์สายเส้นเดียวกันได้โดยการแบ่งในลักษณะของเวลา ที่เรียกว่า Time Division ซึ่งจะเป็นการส่งข้อมูลสลับกันไป
วิธีการทำ Time Division Multiplexing สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทย่อยๆ คือ
1. Synchronous Time Division Multiplexing
2. Stratistical หรือ Asynchronous Time Divesion Multiplexing
Synchronous Time Division Multiplexing
ตัวอย่างของการใช้ ได้แก่ ระบบวงจรคู่สายเช่า E1 Services, ระบบโทรศัพท์ ISDN
จากภาพแสดงหลักการทำงาน ของเทคนิค Synchronous Time Division Multiplexing ในขณะที่เทคนิค Frequency Division Multiplexing จะใช้สัญญาณอนาล็อกที่มีความแตกต่างกันในการนำข้อมูลจากแหล่งกำเนิดข้อมูลต่างกัน เพื่อให้ส่งเข้าไปสายเส้นเดียวได้
ส่วน Time Division Multiplexing จะไม่อาศัยความถี่ที่ต่างกันในการนำข้อมูล แต่จะอาศัยการแบ่งช่วงเวลาในการส่งข้อมูล เรียกว่า time slot เพื่อใช้ในการส่งข้อมูลจากแหล่งกำเนิดข้อมูลที่แตกต่างกันสลับกันไป
จากภาพในสไลด์ที่ 10 ในไฟล์เสียง แต่เป็นสไลด์ที่ 11 ใน handout เรามีแหล่งกำเนิดข้อมูลที่เป็นที่มาของข้อมูล 4 อุปกรณ์ด้วยกัน โดยอุปกรณ์ทั้ง 4 อาจจะเป็นคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นอุปกรณ์เครื่องข่าย อย่างเช่น เราท์เตอร์ หรือเป็นอุปกรณ์อื่นๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดข้อมูลได้
จากภาพจะเห็นได้ว่าข้อมูลจะถูกส่งเข้ามาที่ Multiplexor และเก็บพักไว้ในหน่วยความจำ ซึ่งเรียกว่า buffer จะเห็นว่าข้อมูลจากอุปกรณ์แต่ละตัวจะถูกเก็บไว้ใน buffer ของตัวเอง หลังจากนั้นข้อมูลจาก buffer จะถูกส่งเข้าไปในสายนำสัญญาณ โดยอุปกรณ์ multiplexor จะเป็นตัวกำหนดว่าช่วงเวลาใดข้อมูลจากอุปกรณ์ใดจะถูกส่งเข้าไปในสายนำสัญญาณ จากภาพจะเห็นว่า ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ 1 จะถูกส่งไปก่อน แล้วตามด้วยข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ
แต่ละอุปกรณ์จะได้รับการ assign ช่วงเวลา หรือ Time slot ที่คงที่ โดยในกรณีที่ข้อมูลจากอุปกรณ์แต่ละตัวไม่สามารถส่งได้หมดภายในครั้งเดียว ก็จะทยอยส่งมาในช่วง Time slot ถัดไป จากภาพจะเห็นว่าหลังจากที่ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ส่งครบแล้ว ก็จะวนกลับมาให้อุปกรณ์ที่ 1 ส่งข้อมูลต่อไปได้
ด้วยวิธีนี้ก็สามารถทำให้สายนำสัญญาณเส้นเดียวกันสามารถส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หลายๆ ตัวได้ จริงๆ แล้วไม่พร้อมกัน แต่เสมือนว่าพร้อมกัน เนื่องจากช่วง Time slot ที่อุปกรณ์แต่ละตัวได้รับการ assign ค่อนข้างสั้น ดังนั้นอุปกรณ์แต่ละตัวก็จะได้รับสิทธิ์ในการส่งโดยที่ไม่ต้องรอให้อุปกรณ์ตัวแรกส่งข้อมูลหมดก่อน เพราะว่าจะมีการแบ่งสลับกันไป
อย่างเช่น ถ้าอุปกรณ์ที่ 1 จะส่งข้อมูล 10 K ก็ไม่ต้องให้อุปกรณ์ที่ 1 ส่งข้อมูลหมดทั้ง 10 K ก่อนแล้วถึงจะส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ 2 นั่นเป็นเพราะว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากแต่ละอุปกรณ์จะถูกซอยย่อย ทีละนิดๆ ทำให้ทุกอุปกรณ์ได้รับสิทธิ์ในการส่งโดยที่ไม่ต้องรอให้อุปกรณ์แรกทำการส่งข้อมูลเสร็จก่อน
ที่กล่าวมานี้คือหลักการของ Synchronous Time Division Multiplexing
ทั้งนี้ เมื่อข้อมูลถูกส่งออกไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง ก็จะมีอุปกรณ์ที่เป็น multiplexing ที่มีลักษณะเหมือนกัน ทำหน้าที่ demultiplexing โดยข้อมูลจากอุปกรณ์ 1 ก็จะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่เป็นคู่ของมัน ข้อมูลจากอุปกรณ์ 2 ก็จะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ปลายที่เป็นคู่ของมัน ดังนั้นข้อมูลจากฝั่งส่งของเครื่องใด ก็จะถูกส่งไปยังเครื่องรับปลายทางที่เป็นคู่ของมัน
จากภาพในสไลด์ที่ 11 ในไฟล์เสียง เป็นการแสดงการทำ multiplexing และ demultiplexing ด้วยวิธี Synchronous Time Division Multiplexing จากภาพจะเห็นว่า aaa เป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งเครื่องที่ 1, bbb เป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งเครื่องที่ 2 และ ccc เป็นข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งเครื่องที่ 3 โดยในที่นี้อาจจะเป็นคอมพิวเตอร์ก็ได้
จะเห็นว่าเมื่อผ่านการ multiplexing แล้ว ข้อมูลจากแต่ละแหล่งก็จะถูกส่งสลับกันไป เมื่อมาถึงฝั่งรับ ก็จะเกิดกระบวนการ demultiplexing ขึ้น โดยตัว multiplexor ที่ทำ demultiplexing นี้ ก็จะเลือกเฉพาะข้อมูลจาก a มาส่งออกให้กับอุปกรณ์ตัวที่ 1 ข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวที่ 2 ที่เป็น b ก็จะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ 2 ที่ฝั่งรับ ข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวที่ 3 ที่แทนด้วย c จะถูกออกไปยังอุปกรณ์ตัวที่ 3 ที่ฝั่งรับ ดังนั้นก็จะเสมือนว่าข้อมูลจากอุปกรณ์ที่ 1, 2 และ 3 จะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ฝั่งรับที่เป็นคู่ของมันตามลำดับ
ปัญหาของ Synchronous Time Division Multiplexing เกิดขึ้นเมื่อ อุปกรณ์บางตัวในบางขณะเวลาอาจจะไม่ได้ทำการส่งข้อมูล ซึ่งการส่งแบบ Synchronous Time Division Multiplexing ช่วงเวลา หรือ Time slot ในการส่งข้อมูล จะถูก fix ไว้สำหรับอุปกรณ์แต่ละตัว เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าอุปกรณ์ตัวนั้นจะไม่ได้ทำการส่งข้อมูล ช่วงเวลาดังกล่าว ก็ไม่สามารถนำไปใช้ให้อุปกรณ์ตัวอื่นส่งข้อมูลได้
จากภาพในสไลด์ที่ 14 ในไฟล์เสียง จะเห็นว่า อุปกรณ์ตัวบนสุดเป็นอุปกรณ์ตัวเดียวที่จะทำการส่งข้อมูล ส่วนอุปกรณ์ตัวที่ 2,3 และ 4 ที่เขียนว่า Idel นั้นจะไม่มีการส่งข้อมูลในขณะนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม Time slot ที่กำหนดไว้ให้กับอุปกรณ์ที่ 2, 3 และ 4 ก็จะไม่มีการส่งข้อมูลในช่วงเวลาดังกล่าว คืออุปกรณ์ตัวแรกที่มีข้อมูลอยู่ ไม่สามารถใช้ช่วงเวลาที่อุปกรณ์อื่นไม่ได้ส่งข้อมูลนั้นมาส่งข้อมูลให้กับตัวเองได้ ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นี่คือเป็นปัญหาที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของ Synchronous Time Division Multiplexing อาจจะต่ำได้ เมื่ออุปกรณ์หลายๆ อุปกรณ์ไม่มีการส่งข้อมูลมาพร้อมๆ กัน
นั่นเป็นที่มาที่ทำให้เกิดวิธีการ Time Division Multiplexing ขึ้นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่า Statistical Time Division Multiplexing
Statistical Time Division Multiplexing
สำหรับวิธีการนี้ Time slot ที่ assign ให้กับอุปกรณ์แต่ละตัวจะไม่ถูก fix เอาไว้ แต่จะขึ้นอยู่กับแต่ละอุปกรณ์ว่ามีข้อมูลที่ต้องการส่งหรือไม่ หากอุปกรณ์ใดไม่มีข้อมูลที่ต้องการจะส่ง ช่วง Time slot ของอุปกรณ์นั้นก็จะถูก assign มาให้อุปกรณ์อื่นๆ ที่มีข้อมูลที่ต้องการจะส่งในขณะนั้น มาใช้ส่งข้อมูลแทน ด้วยวิธีนี้ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากสายนำสัญญาณได้เต็มที่มากขึ้น
อย่างเช่นในภาพ สไลด์ที่ 16 ในไฟล์เสียง จะเห็นได้ว่า อุปกรณ์ตัวที่ 1 และ 3 มีข้อมูลที่ต้องการจะส่ง แต่อุปกรณ์ตัวที่ 2 และ 4 ไม่มีข้อมูลที่จะส่งในขณะนั้น ตัว multiplexor ก็จะ assign ช่วงเวลาหรือ Time slot ให้กับอุปกรณ์ตัวที่ 1 และ 3 เท่านั้น ทำให้ไม่มีช่วงเวลาว่าง (Idle) ไม่มีข้อมูลส่ง ทำให้การใช้ประโยชน์จากสายนำสัญญาณเกิดประโยชน์สูงสุด คือไม่มีช่วง Idel หรือช่วงเวลา time slot ที่ว่างไว้
แต่เนื่องจากว่า Time slot ของการส่งแบบ Statistical Time Division Multiplexing จะไม่มีการ fix เวลาเอาไว้กับอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง ดังนั้นในการส่งข้อมูลโดยวิธีนี้ จะต้องส่ง Address หรือหมายเลขของอุปกรณ์ไปกับข้อมูลด้วย เพื่อให้ฝั่งรับ หรืออุปกรณ์ multiplexor ที่ฝั่งรับสามารถบอกได้ว่าข้อมูลแต่ละชุดต้องส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางหมายเลขใด
Wednesday, July 9, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment