Thursday, July 3, 2008

Summarize Sound Lecture Chapter 4

สรุปไฟล์เสียง Data Communication
Chapter 4: Making Connection (Summary)

ในบทที่ 3 เราได้พูดถึงการส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณอนาล็อก และดิจิตอลไปแล้ว ซึ่งในระบบสื่อสาร อุปกรณ์ในระดับ Physical Level จะประกอบด้วย อุปกรณ์ส่งข้อมูล อุปกรณ์รับข้อมูล และสื่อที่ใช้นำสัญญาณ

อุปกรณ์ส่ง จะทำหน้าที่ในการแปลง data ให้อยู่ในรูปแบบ signal ไม่ว่าจะเป็นแบบอนาล็อก หรือดิจิตอล ก็ตาม ในขณะที่อุปกรณ์รับ ก็จะทำหน้าที่รับสัญญาณแล้วแปลงให้กลับไปเป็นข้อมูล (data) เหมือนเดิม ส่วนสื่อ จะทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณจากฝั่งส่ง ไปยังฝั่งรับ

ในบทที่ 4 จะมาพูดถึงอุปกรณ์เหล่านี้ ที่ทำงานในระดับ Physical Layer ว่าในทางปฏิบัติ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ต่างๆ มีชื่อเรียกว่าอะไร และมีมาตรฐานอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง

นี่คือหัวข้อต่างๆ ที่จะพูดถึงในบทที่ 4
1. Modems และประเภทต่างๆ ของโมเด็ม
2. วิธีการรับส่งข้อมูลโดยที่ไม่ต้องอาศัยโมเด็ม เช่น ADSL โดยอาศัยระบบ ISDN
3. มาตรฐานในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์รับส่งข้อมูล เช่น โมเด็ม
4. รูปแบบของการส่งสัญญาณที่เรียกว่า Asynchronous และ Synchronous
5. รูปแบบของการเชื่อมต่อต่างๆ ในระดับของ Physical Level

เริ่มต้นเรามาดูอุปกรณ์ที่เรียกว่า Modems กันก่อน
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าคำว่า Modem ย่อมาจาก Modulation/Demodulation เป็นอุปกรณ์ที่ถ้าอยู่ในฝั่งส่ง จะทำหน้าแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณ อนาล็อก แต่ถ้าอยู่ในฝั่งรับ จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อกที่ได้รับให้เป็นข้อมูลเหมือนเดิม ซึ่งโดยปกติโมเด็ม จะสามารถทำหน้าที่รับและส่งได้พร้อมๆ กัน

ตามที่ได้กล่าวไปแล้วไปในบทที่ 2 ว่า รูปแบบการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณอนาล็อก สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของสัญญาณอนาล็อก เช่น Amplitude, Frequency, Phase หรือปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน

โมเด็มในปัจจุบันที่ใช้งานกับสายโทรศัพท์ตามบ้าน ปกติมีความเร็วในการรับ-ส่งสัญญาณสูงสุดที่ 56 Kbps

คุณสมบัติโดยทั่วไปของโมเด็ม ได้แก่ Auto Answer, Auto Dial, Auto Disconnect และ Auto Redial

Auto Dial คือ ตัวโมเด็มสามารถต่อสายโทรศัพท์ได้โดยตัวมันเอง โดยที่เราไม่ต้องสั่งให้หมุนหมายเลขโทรศัพท์
Auto Answer คือ ถ้าเป็นกรณีของโมเด็มที่ตั้งอยู่ แล้วผู้ใช้ในฝั่งตรงข้ามโทรเข้ามา จะสามารถรับสายได้โดยอัตโนมัติ

นี่เป็นคุณสมบัติของโมเด็มโดยพื้นฐานทั่วไปที่วางจำหน่ายในท้องตลาดปกติ

นอกจากนี้ โมเด็มยังมีความสามารถที่เราเรียกว่า Connection Negotiation โดยเป็นความสามารถที่อาจจะเรียกว่า Backward compatibility โดยโมเด็มได้ผลิตออกมาจำหน่ายและมีมาตรฐานพัฒนากันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10-20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นในท้องตลาดปัจจุบันจึงมีโมเด็มที่เป็นมาตรฐานล่าสุดที่เรียกว่า V.90 แต่ในขณะเดียวกันผู้ใช้โมเด็ม อาจจะมีจำหนึ่งที่ใช้ในรุ่นที่พัฒนามาก่อนโมเด็ม V.90

ความสามารถของโมเด็มโดยทั่วไป คือ สามารถคุยหรือเชื่อมต่อกับโมเด็มที่มีมาตรฐานต่ำกว่าได้ โดยกระบวนการตรงนี้เมื่อเราได้หมุนหมายเลขโทรศัพท์ โมเด็มทั้ง 2 ฝั่งจะมีการติดต่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยจะเชื่อมต่อกันด้วยความเร็วสูงสุดที่โมเด็มทั้ง 2 ฝั่งจะรองรับได้ โดยคุณสมบัตินี้เรียกว่า Connection Negotiation

นอกจากนี้โมเด็มยังมีความสามารถในการทำ Data compression คือ การลดขนาดของข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยังสายโทรศัพท์ รวมทั้งมีความสามารถในการตรวจสอบความผิดพลาด (Error correction) ของการรับ-ส่งข้อมูล และปรับแก้ข้อผิดพลาดในการรับ-ส่งข้อมูลนั้นได้ โดยคุณสมบัติ 2-3 ประการที่กล่าวมานี้ เป็นคุณสมบัติเสริมของโมเด็มโดยทั่วไปที่มีวางจำหน่ายในตลาด

ส่วนหน้าที่หลักของโมเด็ม ก็คือการแปลงข้อมูลให้เป็นสัญญาณ และแปลงสัญญาณกลับไปเป็นข้อมูล (Modulation/Demodulation) แต่ฟังก์ชั่นต่างๆ เหล่านี้ ที่เห็นในสไลด์ที่ 4 ก็เป็นฟังก์ชั่นเสริม ที่มีประโยชน์เมื่อนำโมเด็มไปใช้ในเชิงปฏิบัติ โดยโมเด็มส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายอยู่ จะมีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว

รูปแบบของโมเด็มที่มีจำหน่าย ถ้าจำแนกออกมาทางลักษณะทางกายภาพ จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. Internal Modem ซึ่งจะมี 2 แบบ คือ แบบเป็น Card เพื่อมาเสียบติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ และแบบที่เป็น chip modem ที่ฝังตัวติดตั้งมากับเมนบอร์ด
2. External Modem เป็นโมเด็มที่เป็นกล่องแยกออกมาต่างหากจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีสาย cable ในการเชื่อมต่อระหว่าง External Modem กับคอมพิวเตอร์ โดยในสมัยก่อนรูปแบบการเชื่อมต่อจะผ่าน Serial Port แต่ปัจจุบันสามารถรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Port ได้

โมเด็มที่มีการใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า 56K Modem โดยมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างจากโมเด็มปกติ ซึ่งโมเด็มปกตินั้นจะมีหน้าที่อยู่ 2 อย่างขึ้นยู่กับว่า จะทำหน้าที่รับสัญญาณ หรือส่งสัญญาณ ถ้าส่งสัญญาณก็ทำหน้าที่ในการแปลงข้อมูลให้สัญญาณอนาล็อก ถ้ารับสัญญาณ ก็จะทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นข้อมูลเหมือนเดิม โดยไม่ว่าจะเป็นการรับ หรือส่ง โมเด็มจะทำงานกับสัญญาณที่เป็นอนาล็อก

แต่ในกรณีของโมเด็มที่เป็น 56K modem ลักษณะการทำงานจะแตกต่างกันออกไป โดยที่ทั้งฝั่งส่ง และฝั่งรับ จะมีความแตกต่างกัน อย่างในภาพ (สไลด์ที่ 5) โมเด็มที่อยู่ในฝั่งส่งของ user จะเป็นโมเด็มที่ทำงานคล้ายคลึงกับโมเด็มมาตรฐานที่มีมาก่อนหน้านั้น แต่สำหรับ Modem V.90 ที่อยู่ในฝั่งของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จะเป็นโมเด็มที่เป็นแบบ ดิจิตอล โมเด็ม (จริงๆ แล้วไม่ใช่โมเด็ม) โดยจะเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ แปลงข้อมูลให้เป็นสัญญาณดิจิตอล และแปลงสัญญาณดิจิตอลให้เป็นข้อมูลเหมือนเดิม นั่นคือเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ Data Encoding นั่นเอง

ดังนั้นลักษณะสำคัญของโมเด็ม 56K ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ลักษณะของโมเด็มทั้ง 2 ฝั่ง จะแตกต่างกัน โดยปกติโมเด็มที่ฝั่ง User จะทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็น Data กลับไปกลับมา ในขณะที่ฝั่งของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะเป็นโมเด็มในลักษณะของ ดิจิตอล โมเด็ม

ในปัจจุบันมีมาตรฐานของโมเด็ม 56K อยู่ 2 มาตรฐานด้วยกัน นั่นคือ
1. มาตรฐาน V.90
2. มาตรฐาน V.92 (จะใหม่กว่า V.90)

ทั้ง V.90 และ V.92 จะมีลักษณะสำคัญ คือ จะมีความเร็วอยู่ 2 ขนาดด้วยกัน โดยจะมีความเร็วที่เรียกว่า Upstream และ Downstream

ความเร็ว Upstream คือ ความเร็วจากผู้ใช้ที่ต่อกับสายโทรศัพท์ส่งไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
ความเร็ว Downstream คือ ความเร็วจากฝั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตส่งมายังผู้ใช้บริการตามบ้าน

ในโมเด็ม 56K ความเร็วของ Upstream และ Downstream จะไม่เท่ากัน โดยโมเด็ม มาตรฐาน V.90 จะมี ความเร็ว Upstream สูงสุดอยู่ที่ 33.6 Kbps มีความเร็วแบบ Downstream สูงสุดที่ 56 Kbps ส่วนโมเด็มมาตรฐาน V.92 จะมีความเร็ว Upstream สูงสุดที่ 48 Kbps และมีความเร็วแบบ Downstream สูงสุดที่ 56 Kbps

ความเร็วในแบบสูงสุด (Maximum) จะเป็นไปได้เมื่อสายส่ง หรือสายโทรศัพท์อยู่ในสภาพที่ดีมากๆ ซึ่งในทางปฏิบัติจะไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก ส่วนใหญ่ความเร็วทั้ง Upstream และ Downstream จะมีความเร็วที่ต่ำกว่าความเร็วสูงสุดตามที่กล่าวมา

Modem Alternatives
นอกจากจะใช้โมเด็มในการรับ-ส่งสัญญาณแล้ว ยังมีวิธีการอื่นที่สามารถใช้รับส่งสัญญาณได้ด้วย ได้แก่

E1 Services เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้บริการวงจรคู่สายเช่า หรือ Leased Line โดยในระบบของ E1 Line สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 2 Mbps สามารถรวม (combine) ทั้ง Voice และ Data เข้าไปในภายในสายส่งอันเดียวกันได้

โดยปกติการเชื่อมต่อด้วยบริการ E1 สามารถทำได้ด้วยการใช้สาย Twisted Pair หรือใช้สาย Coaxial Cable เพื่อที่จะรองรับการให้บริการ E1 Services อุปกรณ์ทั้งฝั่งส่งและฝั่งรับ ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลให้เป็นสัญญาณ digital โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะเรียกว่า CSU/DSU

ในภาพ (ตามสไลด์ที่ 9) จะเป็นลักษณะการเชื่อมต่อโดยใช้ E1 Services โดยจะเห็นว่าตรง Label จะเขียนว่า T1 ซึ่งคือมาตรฐานการรับส่งข้อมูลด้วยวงจรคู่สายเช่า ที่ใช้อยู่ในแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งจะคล้ายกับที่ใช้อยู่ในประเทศไทย และยุโรป ซึ่งในภาพจะเห็นว่าทั้งฝั่งรับและฝั่งส่ง จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า CSU/DSU อยู่ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับรูปแบบการเชื่อมต่อโดยใช้สายโทรศัพท์ ก็จะเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แทนตัวโมเด็มนั่นเอง เพียงแต่ว่าโมเด็มทำหน้าที่ในการแปลงข้อมูลไปเป็นสัญญาณอนาล็อก แต่ CSU/DSU จะทำหน้าที่ในการแปลงข้อมูลไปเป็นสัญญาณดิจิตอล และแปลงสัญญาณดิจิตอลกลับมาเป็นข้อมูล

ISDN เป็นการใช้สายโทรศัพท์ที่เราเรียนว่า สายโทรศัพท์ในระบบ ISDN บางครั้งก็เรียกว่า เป็นสายโทรศัพท์ในระบบดิจิตอล ซึ่งการใช้สายโทรศัพท์ในแบบ ISDN ได้ จะต้องมีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ ซึ่งเรียกว่า ISDN Modem

หรือในกรณีที่ใช้สายโทรศัพท์เพื่อใช้บริการที่เรียกว่า DSL หรือ ADSL ก็จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณ ซึ่งจะเรียกว่า DSL Modem (จะพูดถึง ISDN และ DSL อีกครั้งในบทที่ 12)

Interface Standards
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าในการรับส่งข้อมูลเราจำเป็นจะต้องอาศัยอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นโมเด็ม หรืออุปกรณ์ที่เรียกว่า CSU/DSU ก็ตาม ทีนี้เพื่อให้ข้อมูลสามารถส่งจากอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า โมเด็ม หรือ CSU/DSU จะต้องมีมาตรฐานในการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ทั้ง 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้ข้อมูลสามารถเดินทางไปยังโมเด็ม แล้วให้โมเด็มแปลงข้อมูลแล้วส่งสัญญาณไปตามสาย

ในระบบสื่อสาร เรามีชื่อที่เรียกว่าแทนอุปกรณ์ที่เป็นต้นกำเนิดของข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ หรือปลายทางของข้อมูล เช่น พรินเตอร์ ว่าเป็นอุปกรณ์ประเภท DTE (Data Terminal Equipment) ในขณะที่อุปกรณ์ที่ช่วยในการแปลงสัญญาณ เพื่อใช้ในการส่งข้อมูล เช่น โมเด็ม จะเรียกว่าเป็นอุปกรณ์ประเภท DCE (Data Circuit Terminating)

ในภาพจะเห็นว่าระหว่างอุปกรณ์ประเภท DTE และ DCE จะต้องมีสายเคเบิลเชื่อมต่อกัน เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้

Interface Standard ที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ประเภท DTE และ DCE จะมีหน่วยงานที่ออกมาตรฐานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ส่วนหนึ่ง เช่น หน่วยงาน ITU ที่เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทในการออกมาตรฐานของโมเด็ม, EIA, IEE, ISO และ ANSI

มาตรฐานในการเชื่อมต่อ หรือ Interface แบบ standard นั้น มีข้อกำหนดคุณสมบัติต่างๆ เป็น 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
1. Electrical Component ข้อกำหนดในเชิงไฟฟ้า ระดับของสัญญาณตั้งแต่ระดับใด ถึงระดับใด แทนข้อมูล 1 และระดับใด ถึงระดับใด แทนข้อมูล 0 โดยทั้งฝั่งส่งและฝั่งรับจะต้องใช้มาตรฐานทางไฟฟ้าอย่างเดียวกัน เพื่อให้การส่งและรับข้อมูลสามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ สามารถแปลงข้อมูลที่ส่งไปได้ และเพื่อไม่ให้อุปกรณ์รับและส่งเกิดความเสียหาย อันเนื่องมาจากระดับของสัญญาณที่สูงเกินขนาด

2. Mechanical Component เช่น ขนาด รูปทรงของส่วนที่เป็น connector เช่น DB-9, DB-25 ที่ใช้มาตรฐานของ RS-232 ซึ่งจะใช้ใน Serial Port ของคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อทำให้อุปกรณ์ที่ผลิตตามมาตรฐานนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากันได้

3. Functional Component เช่น การกำหนดการเชื่อมต่อระหว่าง DTE และ DCE ต้องมีสายกี่เส้น แต่ละเส้นใช้ทำอะไรได้บ้าง ตัว connector มีกี่ PIN และแต่ละ PIN ใช้ส่งสัญญาณใดบ้าง

4. Procedural Component เป็นกระบวนการติดต่อระหว่าง DTE และ DCE จะต้องมีขั้นตอนในการติดต่ออย่างไร ซึ่งจะเป็นข้อกำหนด หรือมาตรฐานในการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ DTE และ DCE

มาตรฐาน Serial Port ถือว่าเป็นมาตรฐานที่เราใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในโหมดที่เรียกว่า Serial Data Transmission โดยในระบบของ Serial Data Transmission จะใช้สายแค่คู่เดียวในการส่ง หรือถ้าเป็นการส่ง และการรับ ก็จะใช้สาย 2 คู่ ดังนั้นเมื่อเป็นการส่ง และการรับที่ใช้สายคู่เดียวจึงส่งข้อมูลได้ทีละ bits เท่านั้น

ในขณะที่การส่งแบบ Parellel Transmission จะมีจำนวนเส้นในการส่งหลายๆ เส้น จึงทำให้เราสามารถส่งข้อมูลได้พร้อมๆ กัน ทีละหลายๆ bits
Serial Port ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า มาตรฐาน EIA-232 หรือ RS-232 เป็นมาตรฐานที่เก่ามากแล้ว แต่ก็ยังมีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อกับระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ และโมเด็ม อีกทั้งยังมีการกำหนดชื่อมาตรฐานย่อยๆ ลงไปอีก เช่น
1. Electrical Componet จะเป็นมาตรฐาน V28
2. Mechanical Componet จะเป็นมาตรฐาน ISO 2110
3. Function Component จะเป็นมาตรฐาน V24
4. Procedural component จะเป็นมาตรฐาน V24

ทั้งนี้มาตรฐานย่อยๆ อย่าง V28, ISO 2110 และ V24 ซึ่งเมื่อนำเข้ามาประกอบกัน จะเป็นมาตรฐานที่เรียกว่า RS-232 หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า EIA-232

นอกจากมาตรฐาน RS-232 แล้ว ยังมีมาตรฐานในการเชื่อมต่ออื่นๆ อีก เช่น FireWire และ USB

Firewire เป็นมาตรฐานที่เพิ่งจะมีการพัฒนามาเมื่อไม่นานมานี้ ลักษณะเด่นของ Firewire คือ สามารถเชื่อมต่อ และรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้สูงถึง 3.2 Gbps โดย Firewire จะมีใช้กันในอุปกรณ์ที่เป็นวิดีโอ เช่น กล้องดิจิตอล comcorder เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกล้องวิดีโอกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์

USB เป็นมาตรฐานที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง โดย USB 1.0 มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลที่ 12 Mbps ในขณะที่ USB 2.0 มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลที่ 480 Mbps

Asynchronous and Synchronous Connection

ปัญหาหนึ่งที่มีความสำคัญในระบบการสื่อสารข้อมูล คือ จะทำให้อย่างไรให้อุปกรณ์ส่ง และอุปกรณ์รับมีจังหวะการส่ง-รับที่สอดคล้องกันได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้การรับ-ส่งข้อมูลเกิดความผิดพลาดได้ โดยการควบคุมจังหวะการรับ-ส่งข้อมูลให้สอดคล้องกัน เรียกว่า กระบวนการ Synchronization

ซึ่งถ้าเราจำแนกตามกระบวนการ หรือกลไกลที่จะทำให้เกิดการ Synchronization ระหว่างฝั่งส่ง กับฝั่งรับนั้น สามารถแยกรูปแบบการเชื่อมต่อออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ Asynchronous Connection และ Synchronous Connection

Asynchronous Connection คือ ในรูปแบบการเชื่อมต่อแบบนี้ การส่งข้อมูลในแต่ละครั้ง จะส่งได้ครั้งละ 8 bits โดยที่ก่อนจะส่งข้อมูล bits แรก จะต้องส่ง bits ที่เรียกว่า Start bits ไปก่อน แล้วพอจบ bits สุดท้าย จะต้องส่ง bits ที่เรียกว่า stop bits ไป ดังนั้นการส่งข้อมูลในแต่ละชุด จะประกอบด้วยจำนวนข้อมูล 10 bits โดยเริ่มจาก bits ที่เรียกว่า start bits แล้วตามด้วยชุดข้อมูลอีก 8 bits แล้วตบท้ายด้วย stop bits ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการส่งข้อมูลแบบ Asynchronous Connection

1 ชุดข้อมูลหรือ 1 block จะประกอบด้วย bits ทั้งหมด 10 bits โดยเป็นข้อมูล หรือ Data ที่ต้องการส่ง 8 bits ซึ่งใน 8 bits ของ Data นี้ เราสามารถให้ bits สุดท้ายเป็น parity bits ซึ่งเป็น bits ที่เอาไว้สำหรับตรวจสอบความผิดพลาด ในการรับ-ส่งข้อมูล

ในขณะที่การรับส่งข้อมูลแบบ Synchronous Connections จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ใน 1 block หรือ 1 ชุดข้อมูล จะประกอบด้วยไปด้วยข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวน bits ที่มากกว่า 8 bits ค่อนข้างมาก โดยปกติเป็นในระดับพันๆ บิท ขึ้นไป ซึ่งขนาดของ block ที่มีการส่งแบบ Synchronous จะมีขนาดใหญ่กว่า Asynchronous ค่อนข้างมาก

ข้อดีของการส่งแบบ Synchronous คือ ทำให้เราสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ Asynchronous และทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลดีกว่าแบบ Asynchronous

Connection Types
ในการเชื่อมต่อระหว่างฝั่งส่ง กับฝั่งรับ เราสามารถจำแนกรูปแบบการเชื่อมต่อได้ตามทิศทางในการรับส่งข้อมูล ได้ 3 แบบ ได้แก่
1. Half Duplex ระหว่างฝั่งส่ง และรับ สามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้ แต่ไม่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นในระบบของ วิทยุ ที่เรียกว่า Walky Talky ที่จะไม่สามารถส่ง และรับข้อมูลไปพร้อมๆ กันได้ ต้องมีการสวิทซ์ กลับไปกลับมา
2. Full Duplex สามารถส่งและรับข้อมูลไปพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน
3. Simplex เป็นรูปแบบของการสื่อสารทางเดียว คือมีฝั่งส่ง และฝั่งรับ ข้อมูลจะวิ่งจากฝั่งส่ง ไปยังฝั่งรับเท่านั้น ทางฝั่งรับไม่สามารถส่งข้อมูลกลับไปยังฝั่งส่งได้

นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกการเชื่อมต่อได้ตามจำนวนจุด หรือตามจำนวนอุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อกับสายนำสัญญาณ โดยสามารถจำแนกออกมาได้เป็น 2 ลักษณะคือ การเชื่อมต่อแบบ Point-to-Point Connection และ การเชื่อมต่อแบบ Multipoint Connection

Point-to-Point Connection คือ มีอุปกรณ์ 2 อุปกรณ์ แล้วมีสายนำสัญญาณเชื่อมระหว่าง 2 อุปกรณ์นี้เข้าด้วยกัน

Multipoint Connection คือ เป็นกรณีที่มีสายนำสัญญาณเส้นเดียว แต่เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์หลายๆ อุปกรณ์ ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น จะแชร์สายนำสัญญาณเส้นเดียวกันนั้นในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเข้าด้วยกัน

No comments: