Tuesday, July 8, 2008

MIT Chapter1 Organizational Performance : IT Support and Applications (sound lecture)

MIT Chapter1
Organizational Performance : IT Support and Applications
sound lecture in class


บทที่ 1 จะมาพูดเรื่องความสำคัญของไอที ซึ่งในที่นี้จะ assume ว่าคนเรียนไม่ได้จบไอทีมา ซึ่งวัตถุประสงค์ในการเรียนบทที่ 1 จะประกอบด้วย
การอธิบายเศรษฐกิจในยุคดิจิตอลว่าคืออะไร บริษัทต่างๆ องค์กรต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ต้องได้รับแรงกดดันจากสิ่งต่างๆ อย่างไรบ้าง แล้วไอทีจะเข้าไปช่วยได้อย่างไร นอกจากนี้จะคุยเรื่องบทบาทของไอทีในองค์กร ว่ามีอย่างไรบ้าง และเราเรียนไอทีไปเพื่ออะไร

Opening Case
Chip war Intel vs AMD


มีบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำเกี่ยวกับงานไอที ได้ไปค้นพบว่าคอมพิวเตอร์ชิปต่างๆ ที่เป็น CPU โดยเฉพาะของอินเทลเวลาใช้งานแล้วจะกินไฟมาก ทำให้มีการสิ้นเปลือง จึงได้มีการปรับปรุง เปลี่ยน CPU จากอินเทลไปเป็น AMD ซึ่งทำให้ประหยัดเงิน โดยเฉพาะค่าไฟ ทำให้บริษัทได้กำไรมากขึ้น และหลังจากนั้น ก็มีชิปใหม่ๆ ออกมา ซึ่งกินไฟน้อยกว่า AMD ประมาณ 20% ซึ่งทำให้องค์กรต่างๆ สามารถประหยัดเงินค่าไฟไปได้อีกมาก

นอกจากนี้ก็ยังได้นำเครื่องมือในส่วน Collaboration หรือ การทำงานร่วมกัน ผ่านอินเทอร์เน็ตมาในการทำงานด้วย ทำให้บริษัทมีผลกำไรมากขึ้น

Digital Economy หรือเศรษฐกิจยุคใหม่ หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่
สิ่งที่มาเปลี่ยนโลกเมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว ก็คือ ดิจิตอล หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) ซึ่งก็คือการทำธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต โดยปัจจัยที่ให้เกิดเศรษฐกิจยุคใหม่ขึ้นมานั้น จะต้องอาศัย e-Business, Collaboration และ Information Exchange มาประกอบเข้าด้วยกัน
1. e-Business การที่ e-business มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็เพราะว่าทำให้วงจรธุรกิจเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ตถือเป็นปัจจัยหลักของเศรษฐกิจยุคดิจิตอล
2. Collaboration การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปโดยผ่านอินเทอร์เน็ต จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากคนที่อยู่ในองค์กร และต่างองค์กรสามารถสื่อสาร ทำงานร่วมกัน สืบค้นข้อมูลได้โดยง่าย โดยไม่ต้องไปหากัน ไม่ต้องไปอยู่ที่เดียวกัน ไม่ต้องเดินทาง
3. Information Exchange ข้อมูลต่างๆ สามารถจัดเก็บ หรือส่งผ่านกันได้ง่าย รวดเร็ว

Transaction คือ การทำกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น ไปฝากเช็คที่ธนาคาร 1 ใบ, การไปซื้อตั๋วหนัง เป็นต้น

Case Study: Diamonds Online (ธุรกิจค้าพลอย)
ความเป็นมา มีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ดอน โคเจนส์ เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่อายุ 15 อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ก็ได้มีความสนใจธุรกิจค้าพลอยของเมืองจันทบุรี ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ในระดับโลก แล้วก็พบว่าเป็นธุรกิจที่มีการตั้งราคาที่แปลกมาก เนื่องจากราคาของพลอยที่ขุดขึ้นมาจากเหมือง จนกระทั่งไปอยู่บนสร้อยคอ หรือแหวน มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 1,000% เขาก็เลยสนใจ จึงได้มาทำธุรกิจนี้ โดยการไปซื้อพลอยที่หน้าเหมืองในเมืองจันทบุรี แล้วก็ส่งไปขายที่อเมริกาบ้านเกิด โดยตอนแรกใช้วิธีการลงโฆษณา และรับสั่งทาง FAX คล้ายๆ กับการขายตรง เพื่อตัดพ่อค้าคนกลาง ทำให้ไม่ต้องบวกกำไรมากขึ้นไปเรื่อยๆ และตัวเขาเองก็จะได้กำไรเยอะ

ปรากฏว่าในปีแรกๆ ที่ทำ มียอดการสั่งซื้อผ่าน FAX Order เข้ามาถึง 250,000 ดอลล่าร์ จนกระทั่งปี 1998 เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตบูมขึ้นมา จึงได้ไปตั้งเว็บไซต์ชื่อว่า Thaigem.com ขึ้นมา แล้วก็ขายผ่านอินเทอร์เน็ต ปรากฏว่ายิ่งรวยยิ่งกว่าเก่า มียอดขายถึง 4.3 ล้านดอลล่าร์ในปี 2001 โดยเขาคิดกำไรที่ 20-25% เท่านั้น เป็นการขายที่อาศัยกำไรน้อย แต่ขายเป็นจำนวนมาก ต้นทุนในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่ำ เพราะเสียแค่ค่าเช่าโฮสต์ เงินก็จ่ายผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถขายได้ทั้งในเชิงธุรกิจ (business) เช่น โรงงานมารับซื้อไปเจียระไนต่อ และลูกค้าทั่วไป (Consumer) ที่ซื้อไปทำเครื่องประดับของตัวเอง เป็นการขายทั้งแบบ B2C และ B2B ทำให้ได้กำไรมาก

ทุกคนที่อยู่ในธุรกิจ ลูกค้ารายย่อย องค์กร ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจอะไรก็ต้องใช้ไอทีเข้ามาช่วยทั้งนั้น (ในตาราง 1.2 หน้า 7 จะบอกว่าปัจจุบันเราเอา ไอทีไปใช้อะไรบ้าง เช่น เอามาใช้คำนวณงานยากๆ ที่มีรายการธุรกรรมเยอะๆ เป็นต้น)

เศรษฐกิจยุคเก่า และเศรษฐกิจยุคใหม่
เมื่อหลายปีก่อนการถ่ายรูปมีขั้นตอนประมาณ 6-7 ขั้นตอน ตั้งแต่การไปซื้อฟิล์มที่ร้าน จากนั้นก็ต้องเอาฟิล์มใส่ในกล้อง ซึ่งก็ยุ่งยากพอสมควร ทีนี้ก็ไปเที่ยวแล้วก็ถ่ายรูป เสร็จแล้วก็ต้องเอาฟิล์มไปล้าง แล้วก็เอารูปกลับมาดู ทีนี้ใครต้องการรูปอะไรบ้างก็ต้องไปร้านถ่านรูปเพื่ออัดรูปอีกครั้ง พอได้แล้วก็เอารูปใส่ซอง ส่งจดหมายไปให้เพื่อน ซึ่งกว่าจะได้ก็นาน

แต่ปัจจุบันกลับกันแล้ว เพราะเราใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพ ซึ่งเร็วกว่าเยอะ ถ่ายแล้วเห็นรูปได้เลย ขั้นตอนทุกอย่างสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในวันเดียว ซึ่งเมื่อก่อนถ้าเอากระบวนการถ่ายภาพดิจิตอลมาพูดคงจะไม่ค่อยเข้าใจกัน แต่เดี๋ยวนี้เรากลับไม่รู้แล้วว่าวิธีถ่ายภาพโดยการใช้ฟิล์มต้องทำกันยังไง

จะเห็นได้ว่าวงจรธุรกิจจะเกิดขึ้นเร็วขึ้น ได้เงินเร็วขึ้น ซึ่งนี่คือสิ่งกระทบ และทำให้เกิดธุรกิจแบบใหม่ ดังนั้นการที่นำไอทีเข้าไปช่วยในธุรกิจ ก็มีความหวังได้ว่าจะทำให้การทำธุรกิจต่างๆ มีความรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม รับเงินเร็วขึ้น ซึ่งนี่คือความสำคัญของการนำไอทีเข้าไปช่วยในธุรกิจ

เรามาดูอีกคำหนึ่ง Business Model เป็นคำศัพท์ทั่วไป ไม่ใช้ศัพท์ทางไอที
Business Models คือ วิธีการในการทำธุรกิจให้มีรายได้ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ขั้นตอนการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง เช่น ตั้งราคาสินค้า ให้บริการลูกค้า จัดการทรัพยากร หรือต้นทุนอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า Business Models เช่น

Business Model ของ Nokia คือ การทำโทรศัพท์ และขายโทรศัพท์ โดยการออกแบบผลิตโทรศัพท์แล้วขาย จากนั้นก็ได้เงิน
Business Model ของสถานีโทรทัศน์ คือ ออกอากาศให้ประชาชนได้ชมฟรี ไม่เสียสตางค์ และมีรายได้จากการขายโฆษณา และคอนเท็นต์
Business Model ของ Google คือ ทำ search engine ให้คนค้นหาข้อมูล แต่ตอนหลังเริ่มมีการให้บริการที่หลากหลาย มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งบริการบางอย่างให้ใช้ฟรี บางอย่างเสียเงิน

ดังนั้นเราควรจะไปศึกษา Business Model ขององค์กรของตัวเอง เพราะคนที่ทำไอทีมักจะลืมคำนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองขายอะไร คือยังไม่มี Model ธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ จะขายอะไร ขายให้ใคร รายได้มาจากไหน ต้นทุนเท่าไหร่ ดังนั้นคนที่ทำ e-commerce มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะมัวแต่ไปคิดถึงเรื่องเทคโนโลยีว่าจะใช้อะไร แต่ลืมคิดถึง Business Model ของตัวเอง

ยุคดิจิตอล ทำให้เกิด Business Model ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ไม่คิดว่าจะทำได้ เพราะข้อจำกัดของ สถานที่ เวลา ปริมาณ ข้อมูล การส่งของ การชำระเงิน แต่ในปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิตอล ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์สามารถทำได้แล้ว มี Business Model เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เช่น

Name You Own Price ลูกค้าเป็นคนกำหนดราคาเอง เช่น การท่องเที่ยว บริษัททัวร์ ที่ผู้ซื้อสามารถเป็นผู้ตั้งราคาของตั๋ว หรือราคาที่พักที่ต้องการได้เอง อย่างเช่นที่ priceline.com เป็นต้น

Reverse Auction การประมูล แต่เดิมนั้นการประมูลจะเป็นแบบอยู่ในห้องให้ใครต้องการประมูลเท่าไหร่ก็เสนอขึ้นมา แต่เมื่อมีการใช้อินเทอร์เน็ต ก็ทำให้การประมูลทำได้รวดเร็วขึ้น ได้ราคาที่ต่ำสุดกว่าการเปิดซองปกติ

Affiliate Marketing การทำตลาดแบบไม่ต้องทำเอง มีบุคคลที่ 3 มาช่วยทำ เป็นธุรกิจนายหน้า เช่น จะทำโฆษณาอะไรสักอย่าง ก็ไม่ต้องไปโฆษณาเอง แต่มีคนมาช่วยทำ หรือที่เราเรียกว่า Agent จะไปจัดหาคนซื้อมาทำให้ แล้วถ้าขายได้ก็จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ เป็นค่านายหน้าไป ซึ่งค่าคอมมิชชั่นบางทีก็เกิน 100% จากราคาสินค้า และการติดโฆษณาในแต่ละแห่ง เจ้าของสินค้าก็จะสามารถดูได้ว่าเป็นของใคร มาจากใคร เพื่อจะได้จ่ายให้ค่านายหน้ากลับไปให้ได้ถูกคน

E-MarketPlace and Exchanges ตลาดกลางออนไลน์ เป็นการเช่าแผงหน้าร้านเหมือนกับการขายของตามปกติ แต่เป็นการเช่าหน้าแผงบนเว็บไซต์แทน แล้วก็มีคนเข้ามาซื้อ มีของวางขายมากมาย ถ้าคุณเป็นเจ้าของตลาด ก็มีคนมาเช่าแผง อย่างเช่น tarad.com เป็นต้น จึงทำให้เกิดตลาดขึ้นโดยที่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และเจ้าของตลาด ต่างนั่งอยู่บนหน้าจอ ส่วน Exchange จะมีทั้งการซื้อและขาย เช่น Stock Exchange of Thailand ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามาแลกเปลี่ยนหุ้นกัน

Electronic Aggregation เป็นการซื้อกันเป็นกลุ่ม โดยการทำแบบปกติ อาจจะยาก แต่ถ้าทำบนออนไลน์ จะง่ายกว่า โดยการประชาสัมพันธ์ออกไปว่ามีใครสนใจจะซื้อสินค้าในแบบเดียวกันนี้บ้าง ก็มารวมกลุ่มกัน เพื่อจะได้ไปต่อรองราคาเพื่อขอส่วนลด เช่น การไปซื้อตำรา หากต้องการส่วนลดมากก็ต้องรวมกันซื้อหลายๆ คน โดยรวมตัวกันบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งจริงๆ แล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่รู้จักกัน แต่สามารถรวมตัวกันเพื่อขอส่วนลดได้

ในการทำธุรกิจ องค์กรต่างๆ ได้รับแรงกดดัน (Pressure) อยู่หลายด้าน ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากในการทำงาน เช่น สิ่งแวดล้อม สภาพองค์กร และเทคโนโลยี โดยองค์กรธุรกิจต่างๆ ก็พยายามเปลี่ยนแปลง ต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และหาหนทางแก้ไข ต่อสู้ ซึ่งมีวิธีหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ในการต่อสู้ทางธุรกิจได้ในปัจจุบัน แต่วิธีหนึ่งที่สำคัญ คือ ไอที นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเรามาเรียนก็เพราะว่าเราจะเอาไอทีเข้ามาช่วยบริหารงาน

Three Types of Business Pressures
แรงกดดันหลักๆ ในการทำธุรกิจ มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่

1. Market Pressures (ความกดดันด้านการตลาด)
Global Economy and strong competition เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามเศรษฐกิจของโลก มีอะไรแย่ที่ไหน ก็จะกระทบไปทั่วโลก มีการแข่งขันกันสูง เพราะทุกชาติสามารถแข่งขันกันได้ เกิดการค้าเสรี
Workforce ค่าจ้างแรงงานที่แตกต่างกัน ประเทศไหนมีค่าจ้างแรงงานต่ำ ก็จะมีการไหลเข้าไปลงทุนในประเทศนั้น เป็นต้น หรือขาดแคลนแรงงานก็ไปเอาแรงงานจากต่างชาติมา
Powerful Customer ลูกค้าปัจจุบันเก่งกว่าเก่าเยอะ เพราะมีข้อมูล ราคา การแข่งขัน ลูกค้ารู้หมดว่าใครขายอะไรที่ไหน ซึ่งทำให้ลูกค้ามีอำนาจการต่อรองมากกว่าเดิม ผู้ขายก็จะขายของยากขึ้น มีอุปสรรคมากขึ้น

2. Technology Pressures (ความกดดันด้านเทคโนโลยี)
Innovation and Obsolescence มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางด้านไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดขึ้นเร็ว และหายไปเร็วด้วย ดังนั้นจึงมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาวางจำหน่ายอยู่เรื่อยๆ แต่ก็จะหายไปจากตลาดเร็วขึ้นด้วย ซึ่งทำให้ product life cycle สั้นลง ถ้าไม่หาของใหม่ๆ มาขาย ก็จะกลายเป็นสินค้าตกรุ่นไป ซึ่งนี่คือผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่มีความรวดเร็ว
Information Overload มีข้อมูลข่าวสารอยู่บนอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความสับสน ทั้งคนซื้อ และคนขาย ทำให้ตัดสินใจยากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าข้อมูลไหนที่จริง ข้อมูลไหนเท็จ ซึ่งก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง

3. Societal Pressures (ความกดดันทางด้านสังคม)
Government Regulation and Deregulation กฎหมายหรือ พรบ. ใหม่ๆ ที่ออกมา รวมทั้งที่เลิกใช้ไป ก็มีผลทำให้สินค้าบางอย่างขายได้ บางอย่างขายไม่ได้ ต้องมีการจัดระบบกันใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น การยกเว้นภาษีอากรในบางเรื่อง สนับสนุนเรื่องน้ำมัน เป็นต้น
ผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง และผู้ก่อการร้ายทางอินเทอร์เน็ต เช่น แฮกเกอร์ มีอยู่เต็มไปหมด
จริยธรรม มีการทำผิดศีลธรรม จริยธรรมมากขึ้น เกิดการโกงกันมากขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ทำให้เกิดผลกระทบเช่นเดียวกัน

Organizational Responsesเมื่อเกิดแรงกดดันเหล่านี้ขึ้น องค์กรต่างๆ จะแก้ไขอย่างไร
1. Strategic Systems มีการปรับปรุงแผนกลยุทธ์เพื่อทำให้ขายได้มากขึ้น เพื่อกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น
2. Customer Focus องค์กรต่างๆ พยายามใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อจะดึงลูกค้าให้อยู่กับเราด้วยความพอใจนานที่สุด เพื่อที่จะไม่เสียลูกค้าไปให้กับคู่แข่ง โดยจะมีการนำ CRM มาใช้ เพื่อช่วยจัดการบริหารลูกค้า และให้ลูกค้าอยู่กับเราและมีความพอใจมากที่สุด
3. make to order การขายแบบผลิตตามสั่ง โดยแต่เดิมการขายจะเป็นการขายสินค้าที่เราผลิตขึ้นมา แล้วก็พยายามจะยัดเยียดขายให้หมดด้วยการโฆษณา แต่สมัยนี้จะกลับกัน โดยเป็นการขายสินค้าจะผลิตออกมาตามที่ลูกค้าสั่ง ไม่ทำเกินจากที่สั่ง ทำตามแบบที่ลูกค้าต้องการ และทำออกมาพอดี ซึ่งทำให้ของไม่เหลืออยู่ในคลังสินค้า
4. Mass Customization เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องมาจากขั้นที่ 3 โดยเมื่อลูกค้าสั่งสินค้ามา ซึ่งก็จะมีสเปคที่หลากหลาย จึงต้องพยายามหาทางผลิตสิ่งที่ลูกค้าสั่งมา ให้ผลิตได้เป็นจำนวนมาก และให้ได้ในราคาถูก ซึ่งแต่เดิมนั้นเราผลิตตามใจชอบ ก็สามารถควบคุมต้นทุนได้ แต่ถ้าผลิตตามที่ลูกค้าสั่งมาก็จะควบคุมต้นทุนไม่ได้ อย่างกรณีของ Dell ที่ผลิตคอมพิวเตอร์ตามสเปคที่ลูกค้าสั่ง ในจำนวนที่ลูกค้าสั่ง ไม่ได้ทำเกิน แต่บริษัทอื่นผลิตตามสเปคที่ตัวเองคิดว่าดี แล้วก็พยายามที่จะขาย ซึ่งจะกลับกัน โดยสิ่งที่ Dell พยายามทำคือ การขายแบบ Make to Order แล้วก็พยายามผลิตให้ได้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีต้นทุนในราคาถูก
5. E-Business and E-Commerce ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ได้นำ E-Business และ E-Commerce เข้ามาเป็นกลยุทธ์ในการทำงาน แทบจะทุกบริษัทจะต้องมีเว็บไซต์ โดยนอกจากมีเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลแล้ว ยังต้องขายสินค้าหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ตให้ได้ด้วย เพราะคนอื่นๆ เขาทำกัน ซึ่งทำให้วงจรธุรกิจหมุนเวียนไปเร็วขึ้น



Doing Business in the Digital Economy
Digital Economy ที่ได้กล่าวไปแล้ว เราจะมาพูดถึงให้ลึกขึ้นว่ามีความหมายอย่างไร โดยในรายละเอียดแล้วก็คือว่า เศรษฐกิจในยุคปัจจุบันมีพื้นฐานจากการใช้ digital economy และระบบสื่อสารข้อมูล (communicate) เช่น Internet, Intranet, extranets, คอมพิวเตอร์, ซอฟต์แวร์, และสิ่งอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกต่อไปอีกว่า Internet economy (เศรษฐกิจยุคอินเทอร์เน็ต) หรือ new economy (เศรษฐกิจยุคใหม่) หรือ web economy

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? นั่นเป็นเพราะว่า ถ้าเรามีสินค้า หรือการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต จะมี platform อันเดียวกัน ใครๆ ก็รู้ว่าการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตใช้เว็บ browser อย่างไร ไปหาสินค้าได้ที่ไหน ไปดูเว็บไซต์บริษัทต่างๆ ได้ ทุกคนรู้เหมือนกันหมดทั่วโลก กลายเป็นมาตรฐานทั่วโลก นอกจากการซื้อของขายของแล้ว ยังสามารถสื่อสาร ทำงานร่วมกัน สืบค้นข้อมูล หาข้อมูลต่างๆ ได้ ทำอะไรก็ง่ายไปหมด

และสิ่งที่คนพยายามทำขึ้นอีกอย่างคือ พยายามทำกิจกรรม สินค้า บริการ ให้เป็นดิจิตอล อะไรก็ได้ที่ convert เป็นดิจิตอลได้ ให้ทำให้หมด เช่น หนังสือถ้าเป็นกระดาษอาจจะขายได้ยาก มีต้นทุนสูง ก็ทำให้เป็น e-book ซึ่งอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์ ก็จะทำให้ขายง่ายขึ้น, หนังวิดีโอ แทนที่จะเป็นม้วน เป็นแผ่น ก็ใช้การดาวน์โหลดมาดูแทน, นิตยสารดังๆ ก็สามารถเป็นสมาชิกได้ทางอินเทอร์เน็ต อ่านได้จากอินเทอร์เน็ต, โทรทัศน์ วิทยุ ก็มีการกระจายเสียง และคอนเท็นต์บนอินเทอร์เน็ต สามารถดูได้ทั่วโลก นอกจากนี้โปรแกรมซอฟต์แวร์ เกม เพลง ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งแผงขาย สามารถให้ดาวน์โหลดไปได้เลย ส่วนเงินก็สามารถแปลงให้อยู่ในรูปของดิจิตอลได้

ธุรกรรมทางการเงิน ซื้อ ขาย เช่า เงินสดจำนวนมาก ลูกค้าเริ่มเชื่อใจว่าสามารถส่งเงินผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของดิจิตอลได้ แต่บางอย่างก็ยังไม่สามารถทำได้ แต่อะไรที่ทำได้ต้องรีบทำ โดยเฉพาะธนาคาร ถ้าสามารถทำกิจกรรมทางการเงิน หรือธุรกรรมต่างๆ ผ่านหน้าเว็บเบราเซอร์ได้โดยที่ไม่ต้องเดินไปธนาคาร ก็จะดี นอกจากเงินสดเท่านั้นเองที่เป็นอุปสรรคของกิจกรรมทางการเงิน

ดังนั้นจึงมีคนลดการใช้เงินสดในหลายๆ วิธี ทั้งการออกบัตรสมาร์ทการ์ด, สมาร์ท Purse, เดบิต, เครดิตการ์ด เป็นต้น ซึ่งก็พยายามทำกันทุกรูปแบบ อีกทั้งการที่เงินอยู่ในรูปแบบของดิจิตอลยังมีความสะดวก รวดเร็วมากกว่า ต้นทุนการบริหารเงินสดไม่ว่าจะเป็นเหรียญหรือแบงก์มีมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเราซื้อและขาย ทำธุรกรรมทางการเงินด้วยเงินที่เป็นดิจิตอล จะมีการหมุนเวียนของกระแสเงินในระบบสูงขึ้น

คำจำกัดความของ Electronic Business
คำนี้จะมีความหมายมากกว่าคำว่า e-Commerce หรือที่เรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ e-business ไม่จำเป็นต้องเป็นการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการบริการ การให้คำปรึกษา การทำงานร่วมกันระหว่างพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ

เปรียบเทียบ New Economy กับ Old Economy
จากตารางในหนังสือ จะเป็นการเปรียบเทียบว่าธุรกิจเก่า กับธุรกิจใหม่มีความแตกต่างกันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการทำราชการ เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็ลองมาดูว่าเราสามารถทำให้เป็นธุรกิจใหม่ได้หรือไม่
ตัวอย่าง
1. การขายหนังสือ เมื่อก่อนจะซื้อหนังสือก็เดินไปที่ร้าน หรือไม่ก็โทรศัพท์ให้เอาหนังสือมาส่งให้ แต่การซื้อหนังสือแบบใหม่ ก็เข้าไปที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ หรือของร้านค้า แล้วก็สั่งซื้อ
2. การลงทะเบียนเรียน จากเดิมก็ต้องไปที่มหาวิทยาลัย หรือโรงเรียน จากนั้นก็ต้องกรอกแบบฟอร์ม เข้าคิว แต่แบบใหม่ก็เข้าไปที่เว็บไซต์เพื่อลงทะเบียน
3. การถ่ายรูป ก็เป็นการใช้กล้องดิจิตอล แทนการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม
4. การซื้อน้ำมัน จากเดิมก็ไปเติมน้ำมัน แล้วจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต แต่แบบใหม่จะใช้ความเร็วในการชำระเงินมากขึ้น โดยทำแค่โบกบัตรผ่านเครื่องอ่านเท่านั้น คล้ายๆ blue wave ของธนาคารกรุงเทพ
5. ตั๋วเดินทางต่างๆ ก็เปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนจากเงินสด เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์แทน
6. การซื้อของแบบที่คนไม่ต้องผ่าน Cashier โดยปกติเราซื้อของก็ต้องให้สแกนแล้วจ่ายเงิน แต่แบบใหม่จะแค่เข็นรถเข็นไปแล้วก็จะอ่านจาก RFID ซึ่งเป็น barcode ที่อ่านด้วยสัญญาณวิทยุทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้น จากนั้นก็ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตที่จุดชำระเงิน แล้วก็เข็นรถเข็นต่อไป ซึ่งกระบวนการต่างๆ สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าน Cashier ทำให้สามารถใช้บริการได้เร็วขึ้น

Information System คืออะไร
ระบบสารสนเทศ แต่ก่อนก็คือระบบคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันก็เป็น Information system แต่จริงๆ ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์เรามีระบบที่เรียกว่า การจัดการสารสนเทศ อยู่แล้ว ก็คือเวลาเลือกตั้ง หรือทำอะไรก็ตามที่มีข้อมูลเยอะๆ ก็ต้องเอามาประมวลผลอยู่แล้ว เช่น ต้องนับคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นระบบสารสนเทศเหมือนกันแต่ปัจจุบันจะเป็นการทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ค่อยมีใครทำด้วยมือกันแล้ว

ระบบสารสนเทศ ก็เอาข้อมูลที่เป็น Input เป็นข้อมูลดิบมาประมวลผลให้เป็น Output ที่เป็นตัวเลข รายงาน ภาพกราฟิก เสียง ก็ได้ ระหว่างที่ Input จะเป็น output ก็จะเป็นการ process ทำการบวก ลบ คูณ หาร เปรียบเทียบ อันนี้ก็คือระบบ information system สามารถทำด้วยมือได้ แต่ตอนนี้ไม่มีใครทำแล้ว

ส่วนประกอบหลักของระบบประมวลผลสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 6 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน คือ Hardware, Software, Data, Network, Procedures (กระบวนการต่างๆ) และ People โดยจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ และทั้งหมดนี้เราเอามาสร้างสิ่งที่เรียกว่า application (โปรแกรมประยุกต์) หรือ ระบบงาน

เมื่อก่อนนี้ไม่ต้องมี Network แต่สมัยนี้ต้องมี Network เพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องต่อ network ไม่อย่างนั้นก็ไร้ประโยชน์ นั่นคือสาเหตุที่เราต้องมาเรียนวิชา DCM

Application หรือโปรแกรมประยุกต์ หรือโปรแกรมที่นำมาใช้ทางธุรกิจ คือ โปรแกรมที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลเฉพาะกิจ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีให้เลือกใช้หลายอย่างมาก ตั้งแต่การค้าปลีก การค้าส่ง การผลิต การบริหารงานทรัพยากรบุคคล การตลาด สื่อต่างๆ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทุกกิจกรรมมีคอมพิวเตอร์ใช้งานทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ทำด้วยมืออีกแล้ว

แต่ว่าเราลองไปดูว่า ต่อให้ไอทีดีอย่างไรก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า IT Failures

ตัวอย่างเช่น

1. การล่มสลายของธุรกิจ dot com ในช่วงปี 2000-2001 ซึ่งธุรกิจ e-commerce เกือบจะพังไปในช่วงนั้น เว็บไซต์มีการปิดตัวกันมากมาย
2. เว็บไซต์ของ Disney ที่ทำแล้วก็ไม่สำเร็จ
3. บริษัทไนกี้ทำเว็บไซต์แล้วขาดทุน 400 ล้านเหรียญ
4. AT&T บริษัทโทรคมนาคมในอเมริกา ในปี 2004 เกิดอยากจะทำระบบบริหารงานความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ก็ไปซื้อระบบมาซึ่งมีราคาแพงมาก แล้วก็พังไป

ทำไมถึงต้องมาเรียนไอทีกัน
1. ไอทีเป็นส่วนสำคัญในองค์กร ทุกบริษัทต้องมี และนั่นก็ทำให้งานด้านไอทีมีเยอะขึ้น
2. ไอทีช่วยลดจำนวนพนักงานที่เป็นระดับผู้บริหารระดับกลางให้ลดลง เนื่องจากมีเครื่องมือต่างๆ มาช่วยได้
3. มีการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร โอนงานให้ลูกน้องทำได้มากขึ้น
4. สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
5. ช่วยให้คนพิการมีโอกาสมากขึ้น
6. ต่อต้านอาชญากรรม
7. เรียนไอทีแล้วมีแนวโน้มว่าจะรวยขึ้น ดูจากคนรวยอันดับต้นๆ ของโลก

No comments: