Friday, August 1, 2008

MIT Chapter4 : Network Computing for Collaboration

ถอดเทปบรรยาย บทที่ 4 Network Computing for Collaboration

Midterm
Categories
-Discovery
-Communication
-Collaboration
Intranet
Internet
Extranet
Groupware
เราแบ่ง Application Computer Network ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่
ทำไมต้องแบ่ง = เกี่ยวกับ งบประมาณ, งาน, เทคโนโลยี
Internet ที่มันมี Intranet และExtranet มีความแตกต่างกันอย่างไร มีความเป็นมาอย่างไร และมีความแตกต่างกันอย่างไรในการนำไปใช้งาน
กลุ่ม Software ที่เป็น groupware นำมาช่วยอะไรเราได้บ้าง
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เริ่มเทปบรรยาย
Case Super bowl 39 สามาคมอเมริกันฟุตบอลของ USA (เป็นเรื่องของ Collaboration)
Jacksonville ถูกกำหนดเป็นเจ้าภาพ Super bowl ครั้งที่ 39 ในปี 2005 ซึ่งในอดีตนั้นได้เคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วครั้งหนึ่งคือครั้งที่ 34 ในปี 2000 และพบว่า ปัญหาหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คือการจราจร และฝูงชน โดยผลของเหตุการณ์การก่อการร้าย sep11 ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลกลางบังคับใช้กระบวนการและแนวทางการปฏิบัติใหม่ๆ อันต้องทำงานร่วมกับ federal และ national security agency ต่างๆ การสนับสนุนเกี่ยวกับความปลอดภัยและ logistic ในซุปเปอร์โบล์วครั้งที่ 39 นั้น Jacksonville Sheriff’s Office (JSO) ต้องเกี่ยวข้องกับ inspector 50,000 คน เพื่อดูแลความปลอดภัยประมาณ 6,000 สถานการณ์ และต้องประสานงานกับตัวแทนต่างๆจาก 53 ภาคส่วน เช่น ตำรวจทางหลวง ตำรวจดับเพลิง FBI พนักงานกู้ภัย ฯลฯ
วิธีแก้ปัญญา
นำIT เข้ามาช่วยโดยซื้อSoftware ที่มีชื่อทางการค้าว่า E-sponder ตามนามของมันคือ Real-time web base communication and collaboration ซึ่งเป็น Software ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างบุคคลกลุ่มต่างๆ โดยให้ Software กับผู้ใช้งานใช้เป็น Web base Web base คือใช้Web browser ผ่าน Real time เพราะเรื่องของการรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องมีการสื่อสารแบบสดๆตอนนั้นๆเลย
วัตถุประสงค์ของการใช้ SW IT มาบริหารความปลอดภัย คือ
1. มาแทนแบบโบราณของการรักษาความปลอดภัย คือวิธีการมานั่งประชุมกัน ใช้กระดาษ และติดต่อกันทางวิทยุ แต่เขาคิดว่ามีสิ่งที่ดีกว่า คือ ใช้ Web base Application ตัวนี้มาแทน
2. เมื่อนำมาใช้สามารถทำอะไรได้บ้าง ตอบ คือ Centralize command Function จะมีหัวหน้า คือ นายอำเภอเมือง เป็นผู้สั่งการว่า เกิดอะไรขึ้น แก้ไขอย่างไร และการ Action ต่าง เป็น Real time คือจะปรากฏบนจอ PC , Notebook, pocket pc ทันทีเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะปรากฏบนหน้าจอของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการที่ใช้งานแบบ Web base Application เพราะคิดว่าทุกคนสามารถใช้ Internet เป็น นี้เป็นตัวอย่างของการนำComputer เชื่อมต่อกันเป็น Network คือมี server, client, web base, workstation นำมาเพื่อทำงานร่วมกันได้ (Collaboration) ไม่ใช่เพียงแค่การสื่อสารอย่างเดียว

Network computing เป็นอย่างไร (ทำไมต้องแบบ Computing network)
Network เมื่อใช้งานจริงๆ เราก็เชื่อมโยงกันด้วย Internet นั้นเอง ไม่ว่าหน่วยงานวิชาการ;
สถาบันการศึกษา Internet ก็คือ network ของ network นั้นเอง ทุกคนต่อเชื่อมกันหมดทั่วโลกผ่าน Protocol TCP/IP โดยมี Application หลักๆ ที่ใช้ www ฯลฯ File transfer แต่ปัจจุบันคนจะรู้จักเพียงว่า Internet คือ WWW

Internet Application Categories
ประเภทของ Application บน Internet คือเราเอา Internet ไปใช้งานอะไรบ้าง โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. Discovery คือค้นพบ ค้นหา กล่าวคือการสืบค้นข้อมูลต่างๆ บนเว็บนั้นเอง ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นทางเดียวคือไปเอาข้อมูลมาทางเดียว
2. สำหรับ Communication คือการสื่อสาร คือมีการโต้ตอบกันในเชิง 2 ทาง เช่น การส่ง E-mail
3. Collaboration คือเมื่อสื่อสารกันแล้ว ก็ทำงานร่วมกันด้วย เช่นการประชุม

ทำไมเราจึงต้องแบบออกเป็น 3 ประเภท
เพราะถ้าจะออกแบบ Application ที่ผ่าน Web เราจำเป็นต้นดูว่า ผู้ใช้ (USER) ใช้งานแบบใดใน 3 แบบนี้ เราสามารถวางแผน Hardware และ Software ให้เหมาะสมได้ เช่นหากเป็นการสืบค้นอย่างเดียว Graphics ต่างๆก็มีไม่มากนัก ขนาด Server ก็ไม่ต้องใหญ่มากนัก แต่ถ้าเป็นการสื่อสารด้วยก็ต้องมี Server ที่ใหญ่ขึ้น มี Graphics ที่มากขึ้น ส่วน Collaboration เป็นประเภทที่ต้องใช้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น CPU , Hard disk , เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อออกแบบ จึงจำเป็นต้องแบบออกเป็นประเภท เพื่อประหยัดเงิน และเพื่อการออกแบบ เว็บที่ดี
ในอีกมุมหนึ่งที่เขาแบ่งประเภท คือ แบ่งแบบ
- การศึกษา -การบันเทิง - การทำงาน

คำ 3 คำที่ใช้ เหล่านี้คือ อะไร
1. Internet 2. Extranet 3. Intranet

1. Internet คือ Network ของ Network
2. Intranet เกิดขึ้นหลัง internet เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบที่เป็นเทคโนโลยี Internet ค่อนข้างราคาถูก หรือฟรี ดังนั้นเราจึงควรเอาอุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในองค์กร โดยไม่เสียเงิน ไม่ต้องจด Domain name หรือไม่ต้องเช่า high speed เพื่อlink ไปที่ ISP เพราะในองค์กรเรามี LANอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงเอาเทคโนโลยีเหล่านี้นำมาใช้ภายในดีกว่า จึงเกิดเป็น Intranet ขึ้นมา โดยใน Intranet สามารถทำอะไรได้เหมือนใน internet คือมี web browser, search, massaging . Intranet จึงเกิดขึ้นเพื่อใช้กับงานภายใน ซึ่งในหลายองค์กรใหญ่จะมี Intranet คำว่าภายในองค์กรไม่ได้หมายถึงเฉพาะภายในตึกเท่านั้น แต่หมายถึงเฉพาะในบริษัทเดียวกัน เช่นมี 5 สาขาทั่วประเทศ แต่มีข้อมูลที่ไม่ต้องการให้ลูกค้าดู
3. Extranet หลังจาก Intranet เกิดขึ้นแล้ว เขามองว่าน่าจะนำมาใช้สำหรับการเชื่อมต่อระหว่าง องค์กร ที่เรียกกันว่า B to B Transaction ที่มีการติดต่อค้าขายกัน หรือแบบ B to C ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ วิธีการคือ นำ Application ที่ใช้กันอยู่ภายใน ไปสร้าง User และ password ขึ้น แล้วนำไปใช้ลูกค้าใช้ ลูกค้าเพียงแจ้ง User และ password ก็สามารถเข้ามาใช้ได้

ประเภทของ Application ของ Internet
ประเภทที่ 1 Discovery จำแนก Application ในกลุ่มของ Discovery มีอะไรบ้าง
วัตถุประสงค์ของ Discovery : (การค้นพบ) คือผู้ใช้โดยทั่วไปต้องการค้นหา Information ใน Database ได้ทุกที่ทุกเวลา และเนื่องจากมันเป็น Public Network = Open Network เราก็ต้องการให้คนเข้ามาดูเพื่อขายสินค้นของเรา และในมุมมองของผู้ใช้ เขาก็ต้องการดูว่าในโลกนี้มีอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง ดังนั้นจึงมีสิ่งที่ช่วยในการสืบค้น(search) โดยมีผู้ทำ Soft ware agents ออกมาช่วยในการสืบค้น ที่เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อการสืบค้น
มีการหาผลประโยชน์จาก Transaction หรือข้อความที่Key เข้ามาสืบค้น คือจาก Web mining (จากคำว่า Data mining คือค้นหาข้อมูลที่มีความสำคัญใน data base เขาเรา) คำว่า Web mining นี้คือ เราไปค้นหาข้อมูลสำคัญที่เกิดจากการมา Browse web server ของเราจากลูกค้าภายนอก Clickstrem ต่างๆเข้ามา keyword ที่ลูกค้าใช้ ค้นหา คือคำใด ที่เข้ามาเยอะ มีรูปแบบอย่างไร เราจะต้องนำมาพิจารณาด้วย อันนี้เราเรียกว่า Web mining (ถ้าลูกค้าใช้ keyword อะไรบ่อยแสดงว่า ลูกค้าสนในสิ่งนั้น)

และ Application อื่นๆ ที่ทำขึ้นมาเพื่อช่วยให้การสืบค้นสะดวกยิ่งขึ้น เช่น
-Tool bare
-ตัวช่วยแปลภาษา Material in foreign language
-และ portals (ท่า) ต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของ Discovery ทั้งสิ้น

ปัจจุบันมีคำจำกัดความของ Agents หรือ soft ware Agents คือ Program ที่เขียนขึ้นมาเพื่อ
ช่วยในการค้นหาของ User เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
- ประเภท การ Search ที่เป็นลักษณะ FAQ Agents = Frequently Asked Question Agents คือเมื่อเรา Search มันจะเข้าไปที่ FAQ โดยจะไม่ได้เข้าไปตามที่ขาย ที่ได้จาก Google ต่างๆ แต่จะเข้าไปใน FAQ ในคำถามคำตอบที่ได้จัดรวบรวมไว้แล้วใน web ใดก็ตาม (เข้าไปถึงโดยตรง ) เช่น ต้องการข้อมูลกล้องถ่ายรูป คนที่ทำ web ที่มีการช่วยสืบค้นในลักษณะแบบนี้ เข้าคิดว่า คนที่ต้องการค้นหาคำว่า Digital Camera ต้องการรู้ว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร มีวิธีใช้อย่างไร ไม่ใช่ต้องการรู้ว่าซื้อ – ขายราคาเท่าใด จึงมีคนคิด soft ware ที่ช่วย Search แบบนี้ขึ้น
- ประเภทที่เรียกว่า Intelligent Indexing หรือ MATA Search คือเป็น Search ของ Search อีกที่หนึ่ง เป็น Search ที่ไปรวบรวมสรุปมาให้อีกที่หนึ่ง ผลของการสืบค้นจะไม่ได้มากมายเช่นเดียวกับที่สืบค้นจาก google
- Translation Service มีผู้พยายามช่วยแปลให้กับผู้สืบค้นที่อ่านไม่ออก เช่นแปลภาษาต่างๆประเทศเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งแปล web ของเราให้เป็นภาษาอื่นๆ เพื่อให้คนชาติต่างๆเข้ามาดูได้
-Tool Bars วัตถุประสงค์ ช่วยในการ Search
- Discovery Aids = เป็นการช่วยในลักษณะต่างๆ เช่น What is .com เข้าไปดูศัพท์ IT, Hard ware, Soft ware ซึ่งจะบอกคำนิยามต่างๆ ได้ชัดเจน เป็นพวกคำศัพท์ทางเทคนิค
- Blog webblog
- Wiki
- RSS
- Podcast เป็นเสียงบรรยาย/เล่า รายการวิทยุต่างๆ ให้ Load ไปฟังได้ เช่น อสมท สัมภาษณ์ CEO ของบริษัทต่างๆ ซึ่งเป็น Search ในลักษณะเสียง
- Discovery Information Portals Portal คือเว็บท่า เป็น gateway หรือประตูสู่ข่าวสาร
ความรู้ต่างๆโดยรวมไว้ที่เดียวกันผู้ใดจะหาสิ่งใดก็มาที่ เว็บท่า ที่มันจะมีลักษณะแบ่งเป็นประเภทไว้ในเว็บท่าโดยมี link หรือข้อมูลที่จะ Link ต่อไปได้ให้หาสิ่งที่ผู้ใช้ต่อการ ตัวอย่าง ของเว็บว่า ที่เรียกว่า Corporate portals เป็น single point คือจุดเดียวที่เป็น gateway เราเข้ามาที่นี้จุดเดียวจะหาทุกอย่างที่เป็น Corporate นั้นได้ ซึ่ง Corporate คือองค์กรหรือบริษัท
Case ของ Corporate Portal คือบริษัท Kaiser ที่ขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้านสุขภาพ มีสมาชิกทั้งที่เป็นโรงพยาบาล คลินิก โดยเขาอ้างว่าเขาเป็น Clinical Knowledge Corporate Portal ที่เกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ หรือยาต่างๆ ลูกค้าจะสามารถหาต่างๆ ได้เจอ รวมถึง การวินิจจัยโรค วิชาการทางการแพทย์ ฯลฯ วิธีการ คือ ซื้อ Search engine (โปรแกรมที่ช่วยค้นหา) เข้ามาใช้ภายในของเขา และสมารถให้ตรงกับผู้ใช้ที่เป็น ทั้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัช ได้ตรงมา จึงประสบความสำเร็จ เพราะลูกค้าที่เข้ามาก็หาข้อมูลเจอ

อีกตัวอย่าง คือ Commercial หรือ Public Portal คือเป็นเว็บท่า หรือเป็น gateway ที่เราจะเข้าไปหาสิ่งที่ต้องการ เช่น google คือถ้ามองว่าเป็นลักษณะ เว็บท่าของโลก ก็อาจจะเป็น google ก็ได้แสดงว่า google ประสบความสำเร็จในการเว็บท่า
- Information Portals เป็นสารสนเทศ, ข่าวสารเฉพาะกลุ่ม เฉพาะสังคมของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เช่น Tech web.com ที่เป็นนิตยสารเกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่นต้องการรู้เกี่ยวกับ Pocket PC, PAC (เราจะนึกถึงเว็บใด) เช่น นึกถึง www.mrpalm.com เป็นต้น หรือPortals ที่เป็นแบบที่สนใจในแง่งานอดิเรก คือ Vertical Portal Vertical เป็นศัพท์ทางธุรกิจ หมายถึงธุรกิจเดียวกัน เป็นกลุ่มที่ทำการค้าขายในกลุ่มเฉพาะเดียวกัน ดังนั้น Vertical Portal คือเป็นเว็บไซต์ ที่ขาย แลกเปลี่ยนข้อมูลในธุรกิจเดียวกัน เช่น Pharmacuticlaonline.com คือเรื่องรวมเกี่ยวกับยาว่าใครผลิต ใครซื้อ ใครขาย ผลิตยาที่ใดหรือ Bakeryonlinc.com คือเกี่ยวกับอุปกรณ์ วัตถุดิบ การผลิต ซื้อที่ใด กล่าวคือถ้าคนที่สนใจจะทำธุรกิจขนม ก็เข้ามาที่เว็บไซต์นี้
-Voice portals เราสามารถทำเป็นเสียงได้ เป็นข้อมูลเป็นเสียงได้ เช่น Amarican Online by phone

ประเภทที่ 2 คือ Communication
Communication คือการสื่อสารในแง่มุมของการสื่อสารข้อมูลข้อความระหว่างคนกับคนเป็นหลัก ส่ง – รับ เป็น two way สิ่งที่ส่งไปคือ เอกสาร แบบฟอร์ม ข้อความ fileเสียง ฯลฯ ซึ่งส่วนมากเกี่ยวข้องกับ Transaction ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ถาม, ตอบ, หาวิธีการแก้ไปหาอะไรบางอย่าง สิ่งที่เราและเห็นบ่อยๆใน Internet ที่เป็น Communication คือ E-mail นั้นเอง

ตัวอย่าง
- Web –Base Call Center เช่น ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง Web –Base Call Center นี้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้เสียงโทรศัพท์เพื่อสอบถาม ก็สามารถใช้เป็นเว็บได้
- E- ChatRooms IM โดยมี Agents เป็นผู้ตอบคำถาม เช่นของธนาคาร คือเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมทีรับโทรศัพท์ ก็เป็นการ chat กันแทน

Communication มี 3 Mode
1. คนสื่อสารกับคน 2. คนสื่อสารกับเครื่อง 3.คนสื่อสารกับเครื่องกับเครื่อง
เพื่อพิจารณาเลือก IT ที่เราจะใช้เช่น นำ chat room มาใช้หรือใช้อะไรที่มัน Link database ระหว่าง Machine 1 ไป Machine 2 ได้ เช่นคนติดต่อกับเครื่อง แล้วเครื่องติดค้นหาในฐานข้อมูลแล้วตอบออกมาเป็นเสียงหรือเป็นภาพ ดังนั้นเวลาออกแบบต้องพิจารณาด้วยว่า Mode ใดที่เราใช้ในการสื่อสาร

Framework For IT Support of Communication
เพื่อพิจารณาว่า จะนำ IT อะไรไปใช้ เช่น Same time – Same place ใช้ E-Whiteboard
Different Time- Different place ใช้ E-mail Same Time – Different place ใช้ Video conferencing

ประเภทที่ 3 คือ Collaboration
หมายถึง การทำงานร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอาศัยความสามารถของแต่ะละฝ่าย (อ. แสดงรูปหมาต่อตัว) กล่าวคือเป็นความพยายามร่วมกันของ 2 คนขึ้นไป เพื่อทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ (ในที่นี้คือในแง่ธุรกิจ) ซึ่งในธุรกิจมักจะเป็นงานที่ร่วมกันระหว่างลูกค้ากับเรา Supplier กับเรา หรือหุ่นส่วนธุรกิจ (Business Partner) ก็ได้ เพื่อทำอะไรบางอย่างเช่น การขาย ลงชื่อ เพื่อชำระเงิน ก็ได้ ซึ่งโดยจริงๆแล้วเราทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว โดยไม่ได้ใช้ computer แต่ใช้ FAX, โทรศัพท์ ,ขับรถมาประชุม แต่เทคโนโลยีช่วยได้โดยทำสิ่งเดียวกันนี้ได้โดยใช้ Internet หรือ Intranet, Extranet ก็ได้ ดังนั้น การที่เรามาทำงานร่วมกันโดยไม่ได้ มาจริงๆ นั้น คือ Virtual Collaboration หรือ E- collaboration คือการทำงานเช่น การเข้าร่วมประชุมโดยไม่ได้มาจริงๆ แต่ใช้ Internet เป็นเครื่องมือ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ เราเรียกการทำงานร่วมกันผ่าน Internet หรือวิธีทางด้านเทคโนโลยี ว่า Virtual collaboration หรือ E- collaboration

สำหรับคำว่า C-Commerce คือการพาณิชย์ เกิดการซื้อขายขึ้นมา ซึ่งจะต้องได้เงิน ดังนั้นการทำการค้าขายจ่ายเงินได้เงินเหล่านี้เป็น Commerce ที่เราเอามาผ่าน Internet ได้ และถ้านำมาทำรวมกันหลายๆฝ่ายตั้งแต่ 2 3 4 5 6 ฝ่ายขึ้นไป เราเรียกวิธีการน่า C-Commerce ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า C-Commerce ก็แสดงว่ามีหลายฝ่ายมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ไม่ได้มีเพียงแค่ผ่ายเดียวหรือ 2 ฝ่าย

สิ่งที่เกิดขึ้นและเราเรียกว่า C-Commerce ที่นิยมใช้กันคือ
- Supply chain ห่วงโซ่อุปทานเพราะมีหลายฝ่ายอย่างน้อย 3 ฝ่ายคือ ผู้ผลิตวัตถุดิบให้ เรา ตัวเรา ลูกค้าเรา
- Dealer/Partner Network = ช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ผู้แทนจำหน่าย Agents ค้าปลีก ค้าส่ง
ตัวอย่างของ Virtual Collaboration คือ
การถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง Load of the ring โดยที่ทีมงานถ่ายทำ ทีมงานตัดต่อ และทีมงาน Sound tack อยู่คนละที่ ซึ่งเป็นทั้ง Different Time- Different place ดังนั้นฝ่าย IT ก็นำเทคโนโลยีเข้ามาพิจารณาว่าจะใช้เทคโนโลยีตัวใด ทำจะทำให้งานสร้างภาพยนตร์สำเร็จลงได้

Case ของ P&G and Wal-Mart ( ต้องตรวจการสะกด Wal-Mart อีกครั้ง) ทั่ง 2 คนนี้เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ Supply chain กล่าวคือ P&G เป็นผู้ผลิตสินค้นอุปโภค บริโภค ฯลฯ ส่วน Wal-Mart เป็นห้างสรรพสินค้น ที่รับสิ้นค้าจาก P&G ซึ่งเป็น Supplier รายใหญ่ที่สุด เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ซึ่ง Wal-Mart ก็เป็นห้างสรรพสินค้าที่รายใหญ่ที่สุดของโลกเช่นกัน และมีพนักงานขายที่เป็นพนักงานประจำ 1 ล้านคน ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ IT มาช่วยในการขายโดยทั้ง 2 บริษัทนี้ จะมี Information ของกันและกัน คือ Wal-Mart รู้ว่า P&G จะสามารถผลิตของมาส่งได้เมื่อใด ส่วน P&G ก็รู้ว่า สินค้าใดของ Wal-Mart ขาด คือรู้ก่อนว่า Wal-Mart จะส่ง Fax มาบอก ซึ่งตรงนี้เราเรียกว่า Virtual Collaboration เข้าใช้ผ่าน Internet นั้นเอง ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถ login เข้ามาถึง information ของกันและกันได้ ทำให้Supply chain บริหารได้ดี
Case ของ Unilever ซึ่งเป็นยักษ์แห่งการผลิตใช่กัน เขาทำระบบ Virtual Collaboration ผ่านระบบ Internet กับผู้ส่งสินค้าของเขา รถขนสินค้าจะมีระบบที่สามารถเข้ามาส่งสินค้าที่ Unilever ได้ ผ่านระบบ Internet เพื่อจะไปดูได้ว่าจะไปรับสินค้าที่โกดังใดใน Unilever จะทราบได้ว่า ของมีจำนวนเท่าใด มีรถบรรทุกกี่คัน จะรู้หมด เพราะเป็นการทำงานร่วมกันของ Unilever และขนส่ง

สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้กับ Collaboration ใช้อะไรบ้าง
- Instant Massaging พวก MSN
- Web/online conferencing ก็ได้
**และที่สำคัญจะมี Software ที่เป็น Work flow เข้ามาใช้ด้วย คือ Software Work flow จะช่วยจัดเอกสารที่ส่งเข้ามาให้เป็นระเบียบ เป็นขั้นเป็นตอน เอกสารใดดูแล้ว หรือยังไม่ดู อันใดทำเสร็จแล้ว อันใดผ่านไปแล้ว หรือยังไม่ผ่าน และถ้าเสร็จแล้วควรส่งให้ใคร บริษัทใด เหล่านี้คือหน้าที่ของ Work flow Software ที่นำมาช่วยงาน Collaboration ให้ทำโดยสะดวก กว่าแบบเดิม
ซึ่ง Work flow เหล่านี้หาซื้อได้ เช่น จากบริษัท IBM ซึ่งแบบนี้เราเรียกว่าCollaboration Software หรือที่เรียกว่า groupware workflow groupware ย่อมาจาก group software นั้นเอง คือsoftwareที่ใช้เพื่อทำงานเป็นกลุ่มหรือ collaboration ซึ่งพวก groupware เหล่านี้จะเน้นที่ข้อความเอกสารส่วนใหญ่ ที่ใช้ทำงานในลักษณะที่เป็น Document flow หรือที่เป็น Document control ในการควบคุมเอกสาร เราสามารถหาซื้อได้เช่น
-บริษัท IBM มี Lotus Sametime: Web conferencing, meeting
- WebEX : On demand Collaboration applications
- Microsoft : Groove Networks: automated syn content
-Oracle : Collaboration Service: work space Collaboration tasks
พวกนี้จะทำได้หมด และแต่ว่าใครจะเขียนวิธีการใช้งานแบบง่ายหรือยาก ว่าเราจะโปรแกรมออกไปว่า Flow ของ Document จะFlow ออกไปแบบใดบ้าง ซึ่งตรงนี้ อ. เน้นในเรื่อง เอกสาร และการประชุม การออกแบบการสื่อสาร แต่ถ้าเป็นข้อมูลตัวเลข ที่ส่งไปให้ทางฝ่ายบัญชีต้องเป็นด้าน Enterprice Software จะเป็นอีกตัว เช่น ERP, MRP

ทั้ง 3 Function สามารถนำมาใช้อะไรได้บ้าง
- E-learning ก็สามารถสามารถนำไปใช้ได้ โดยเป็นการเรียนแบบ เสมือน แต่ E-learning ไม่ใช้ Distance Learning เพราะ E-learning แปลว่าการเรียนผ่าน Internet แต่การเรียนทางไกล แปลว่าคนสอนกับคนเรียนอยู่ห่างไกลกัน เราเอา E-learning มาช่วยทำ Distance Learning โดยผ่าน web หรือมี Soft ware E-learning ที่สามารถนำไปใช้ได้ฟรี เช่น LMS. และในมหาวิทยาลัยทั่วโลกก็ใช้ E-learning ได้ ทั้งใน USA, UK, เช่น Jones Internation University เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีตัวมหาวิทยาลัย อ. และนักศึกษานั่งเรียนที่บ้าน
- Telecommunication = สามารถนำมาใช้ ทำงานที่บ้านได้


ถอดเทปโดย (พี่) นก บางแสน

No comments: