Tuesday, June 10, 2008

Lecture MIT chapter1

Chapter 1 : Organizational Performance : IT Support and Applications

เนื้อหา
1. บรรยายถึงความสำคัญเศรษฐกิจยุค Digital เพราะว่ามันจะเริ่มเกี่ยวข้องกับงานของเราด้าน IT และ Digital enterprise บริษัท ห้าง ร้านต่างๆ ที่จะต้องปรับตัวนำ IT ไปใช้
2. บรรยายถึงเหตุผลของว่าทำไม่ต้องนำ IT ไปใช้ เนื่องจากว่ามันมีปัญหาหลายๆ ด้านที่การบริหารอย่างอื่น มันช่วยแก้ไขไม่ได้ จึงต้องใช้ IT มาช่วยแก้ไข
3. เราก็จะมาเรียน คำว่า IS กับ IT ว่ามันคืออะไร
4. องค์กรยุคใหม่มีลักษณะอย่างไร
5. บทบาทของ IT ในการช่วยบริหารงาน ในองค์กร
6. ทำไมถึงอยากเรียน IT

Opening case 1
สงครามการผลิต chip ของ Computer ของ Intel and AMD


ปัญหาที่เกิดขึ้นคือในภาวะปัจจุบันมีการแข่งขันสูงทำให้ของที่มีการแข่งขันสูงมีกำไรน้อย คือมีการตัดราคากันเยอะ

Case Intel and AMD
1. Intel มีพนักงาน 1 แสน คน มีรายได้ประมาณ 33.8 พันล้าน (ดอลล่าร์)
2. AMD มีพนักงาน 1 หมื่น คน มีรายได้ประมาณ 5 พันล้าน (ดอลล่าร์)
3. ซึ่งราคาหุ้นของ Intel จะค่อยๆ ตกลง มาเรื่อยๆ ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นของ AMD ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนบางครั้งสูงขี้นกว่า Intel

แสดงว่าการแข่งขันมีผลกระทบกับส่วนแบ่งของตลาด (Market share) ของ Intel ลดไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็ลดลง กำไรก็ลดลง เพราะฉะนั้น Intel จึงต้องปรับกลยุทธ์

การปรับกลยุทธ์

1. ในปี 2006 ประมาณเดือนเมษายน AMD ออก chip ตัวใหม่ก่อน ซึ่งเน้น กินไฟน้อย ขายให้กับพวกที่ทำ Web hosting หรือว่า Outsource ศูนย์คอมพิวเตอร์ คือเอา server มาตั้งเยอะๆ แล้วก็รับจ้างลูกค้าทำ host ให้ (จะมี server เป็น100 ตัว) ซึ่งมีที่แห่งหนึ่งที่ทำแบบนี้คือ Very center โดยที่เค้ามีลูกค้ากว่า 500 รายที่มาจ้างให้ทำแบบนี้ และเค้าก็เอา Intel ออก และเอา CPU ของ AMD ใส่เข้าไปปรากฏว่าลดค่าไฟ ปีนึงจาก 5 แสนเหรียญ เหลือ 1.5 แสนเหรียญ ทำไปเรื่อยๆ AMD ก็ไปเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ทำให้คู่แข่งแย่ไป
2. ผลปรากฏว่าได้ผล และลูกค้าสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้เป็นจำนวนมาก
3. Intel ในปี 2006 ออก chip ตัวใหม่ ปรับปรุง และตั้งเป้าว่าจะกินไฟน้อยกว่า AMD ถึง 20% (ลดไปถึง 1 ใน 5)
4. ใช้ IT มาช่วยในการออกแบบประสานงานภายใน Product (IT base collaboration tool) คือการทำงานร่วมกันหรือการประชุมภายในทาง software (จะเรียนเรื่องนี้ในบทที่ 4)
5. แล้วก็เทคนิคการพัฒนา Software ที่ทันสมัยการออกแบบ software ที่ทันสมัย
6. ปรากฏว่า คิดว่าจะสามารถได้ลูกค้าคืนจาก AMD Intel
ผลก็คือบริษัทฯ AMD ต้องพยายามปรับปรุงกลยุทธ์ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงภาวะการณ์แข่งขันด้านพลังงาน

จะสังเกตว่าการแข่งขันทุกธุรกิจมีสูงมาก เดี๋ยวจะมี Chart ให้ดูว่าทำไมต้องแข่งขันสูงขนาดนั้น

คำว่า Digital economy เศรษฐกิจยุค digital หรือบางคนเรียกว่า เศรษฐกิจแบบยุคใหม่ ทำไมถึงเรียกว่า เศรษฐกิจยุคdigital ถ้าย้อนกลับไปดูจะมีการปฏิวัติทางเกษตรกรรม ในยุโรป เค้าเรียกว่า วิธีการเพาะปลูกแบบใหม่ ทำให้เก็บเกี่ยวได้เยอะขึ้น นอกเหนือจากการปลูกสะเปะ สะปะไป

อีกยุคนึงก็คือ Industrial revaluation คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการผลิตของให้มีประสิทธิภาพ เป็นระบบประเทศในยุโรป ก็กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมไป และก็ร่ำรวยกันไปคือเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรม แต่ในปัจจุบัน เป็นอีกขั้นนึงก็คือเข้าสู่ยุค Digital (รายละเอียดในหนังสือ หน้า 5 ตาราง 1.1)

ในเศรษฐกิจยุคdigitalนั้น โตมาด้วยอาศัยหลัก 2-3 อย่างคือ ทำไมถึงมีความสำคัญ

1. E-business การใช้การทำธุรกิจ หรือค้าขายผ่าน Internet เป็นปัจจัยหลัก ของเศรษฐกิจยุค digital
2. Corroboration การทำงานร่วมกันของบุคคลหลายๆ คน การสื่อสาร การสืบค้นหาข้อมูล คือถ้าเดิมไม่หาข้อมูล ซึ่งถ้าทำด้วยกระดาษมันยาก แต่ถ้าทำผ่าน IT ก็สามารถทำได้รวดเร็ว การสื่อสาร การประชุมร่วมกัน หรือคนที่อยู่ที่ห่างไกลกัน ทำงานร่วมกันได้

เพราะฉะนั้น IT มีส่วนช่วยทำให้คนที่ไม่เคยสื่อสารกัน สามารถสื่อสารกันได้ หรือคนที่อยู่ในที่ห่างไกลกัน สามารถทำงานชิ้นเดียวกันได้ ฉะนั้น IT ทำให้คนมาทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ทำให้มีงานมากขึ้น

3. Information exchange การจัดเก็บข่าวสาร หรือประมวลผลข้อมูล เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ส่งประมวลผล upload , download

Opening case 2
ตัวอย่างเศรษฐกิจยุค Digital
Diamonds online (ธุรกิจค้าเพชรพลอย)


1. เป็นธุรกิจเก่าแก่มาตั้ง 1,000 ปี มีความเหมือนกันมาตลอด คือเรื่องของการตั้งราคา (pricing) ส่งผลให้ราคาสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำกัด เนื่องจากมีการซื้อกันหลายทอด เช่น ขุดมาขาย อาจขายเม็ดละ 10 บาท พ่อค้ามาซื้อ ต่อไปขายอีก เม็ดละ 100 บาท แล้วก็ขายต่อ ราคาเพิ่มขึ้นอีก จนถึงมือลูกค้าจนมีราคาหลายหมื่น

การปรับกลยุทธ์
o มีชายหนุ่มคนอเมริกัน ชื่อ ดอน โคเจนส์ ตอนนั้นอายุ15 ปี เดินทางมาจากอเมริกา มาใช้ชีวิตที่เมืองไทย อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี เค้ามีความเข้าใจในสถานการณ์ของการค้าเพชรพลอยดี จึงคิดหาวิธีโดยการนำพลอยเมืองจันทบุรีไปขายที่ อเมริการ โดยการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และรับสั่งทางFax เพื่อตัดการค้าหลายๆ ทอด ทำให้ไม่ต้องบวกกำไรมาก ทำให้ราคาพลอยของเค้าถูกกว่าคนอื่น
o ความคิดริเริ่มของเค้า ทำให้ขายดิบขายดี แม้แต่ใช้ Fax order ก็มียอดขายถึงปีละ 250,000 ดอลล่าร์
o จนกระทั่งปี 1998 เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตบูมขึ้นมา จึงไปตั้งเว็บไซต์ ชื่อ Thaigem.com แล้วก็ขายผ่านอินเทอร์เน็ต ผลปรากฏว่า รวยยิ่งกว่าเก่า

ผล
o ในปี 2001 มียอดขายถึง 4.3 ล้านดอลล่าร์
o ซึ่งวิธีลงข้อมูลทาง Internet ก็ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีกำไร 20-25 % ถือว่าใช้ได้ เพราะไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก ไม่ต้องเอากำไรเป็น 100 เป็น 1000% ก็สามารถขายได้ เอาจำนวนมาก ต้นทุนที่ต่ำจากการขายทางอินเทอร์เน็ต
o ลูกค้ามีทั้งคนที่เอาไปทำต่อหรือเอาไปตั้งเป็นร้านสรรพสินค้า(Cooperate customer) และลูกค้าทั่วไปซื้อไปใส่เลยแบบสำเร็จรูป(Retail customer) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไป ปัจจุบันเว็บไซต์ Thaigem.com ก็ยังอยู่

ในธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องใช้ IT ทั้งนั้น (ในตาราง 1.2 หน้า 7 เค้าจะบอกว่าปัจจุบันเราเอา IT ไปใช้อะไรบ้าง เช่น เอามา ใช้คำนวณงานยากๆ ที่มีรายการธุรกรรมเยอะๆ เป็นต้น ลองไปอ่านดู เพื่อให้เกิดไอเดีย)

Opening case 3
ตัวอย่างการถ่ายทอด Digital (เศรษฐกิจแบบเก่า กับเศรษฐกิจแบบใหม่)


เริ่มจากการถ่ายทอด Digital เพิ่งเริ่มใหม่ๆ คือ การถ่ายภาพ ซึ่งเดิมจากใช้ กล้องใส่ฟิล์ม แต่ปัจจุบันใช้กล้องดิจิตอล แทน ซึ่งถือว่ามีการพัฒนาไปมาก จากเดิมที่ ใช้วิธีนำฟิล์มใส่กล้อง แล้วก็ถ่าย แล้วนำไปล้าง ต้องรอหลายวัน กว่าจะได้รูป ถ้าเป็นแบบใหม่ ถ่ายภาพแล้ววันเดียว ครึ่งวันก็ได้รูปเลย ซึ่งเร็วกว่าเยอะ แต่ปัจจุบันนี้ มันกลับกันแล้ว คือเราใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพ ทำให้เราไม่รู้ว่าวิธีถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มนั้นทำกันยังไง

คนที่ทำ IT มักจะลืม คำนี้ อยากทำ E - commerce ขายของ ก็มักจะลืมคำนี้ แต่ยังไม่รู้จะขายอะไร แต่ขั้นแรกที่ทำก็ต้องรู้ว่าขายอะไร? สิ่งนั้นก็คือ Business Model คือ วิธีการทำธุรกิจเพื่อให้มีรายได้ สร้างมูลค่าของของ ตั้งราคาสินค้า ให้บริการลูกค้า จัดการทรัพยากร หรือต้นทุน ดูตัวอย่างต่อไปนี้

Business Model ของ Nokia คืออะไร ก็คือ การทำโทรศัพท์ และขายโทรศัพท์ เพียงแต่ตอนแรกไปทำจานดาวเทียม แล้วไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนสินค้า

Business Model ของสถานีโทรทัศน์ คือให้ประชาชนดูรายการฟรี ทีวี แต่เก็บเงินค่าโฆษณาจากบริษัทโฆษณาต่างๆ เคเบิลทีวี ก็เก็บค่าสมาชิกจากประชาชนที่สนใจ และเก็บค่าโฆษณาจากบริษัทโฆษณา

Business Model ของ Yahoo and Google คือ ทำ search engine ให้คนค้นหาข้อมูล แต่ตอนหลังเริ่มมีการให้บริการหลากหลาย เช่น ให้ใช้ e-mail ฟรี และไม่ฟรี ทำโทรศัพท์ ทำโฆษณา

จะสังเกตว่า Model นี้มันจะยุ่ง ถ้าเกิดว่าเราตั้งหลักไม่ดี เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ คือถ้าเราจะทำเปิด website เราก็ต้องมี Business Model ว่าเราจะทำอะไร ลองไปดูตัวอย่าง 4.1 หน้า 10 จะเป็น 6 ขั้นตอน ทำแบบมืออาชีพ เป็นวิธีการเขียน Business Model

ปรากฏว่าเศรษฐกิจยุคดิจิตอล ทำให้เกิด Business Model ใหม่ๆ ขึ้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ไม่สามารถทำได้ในอดีต มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานที่และเวลา ปริมาณ ข้อมูล แต่ในปัจจุบันทำได้แล้ว ตัวอย่างเช่น

1. Name–Your-Own Price เช่น การขายของ ขายของโดยผู้ซื้อเป็นผู้ตั้งราคา เช่น บริษัททัวร์ ซึ่งผู้ขายจะเป็นผู้ตั้งราคามา Packets พร้อมโรงแรม ไม่พอใจเราก็ไม่ซื้อ
2. แต่นี่กลับกันคือ ให้เราเป็นคนตั้งราคา แล้วเค้าจะไปจัดหาทัวร์ ที่ราคาเท่านี้มาให้
3. ซึ่งวิธีนี้เดิมในอดีตทำไม่ได้ แต่อันนี้ทำได้ และฟรี
4. Reverse auction คือการประมูลแบบต่างๆ ซึ่งเดิมก็ประมูลได้ แบบอยู่ในห้องแล้ว เคาะๆ แต่แบบนี้เป็นการทำกันทั่วโลก ซึ่งประมูลของจากทั่วโลก โอกาสจะได้มันจะเร็วกว่า
5. Affiliate Marketing เป็นการตลาดแบบไม่ต้องทำเอง มีคนช่วยทำ เช่น จะทำโฆษณาอะไรซักอย่าง ก็ไม่ต้องไปโฆษณาเอง จะมีคนทำให้ หรือที่เราเรียกว่า Agent จะไปจัดหาคนมาทำให้ แล้วเค้าก็แบ่ง % ร่วมกัน
6. ทุกอย่างบน Internet คือคนที่ทำโฆษณาให้บริษัททัวร์ ก็ไม่รู้จัก กับคนที่รับจัดหาให้ คนที่จัดหาให้เราก็ไม่รู้จักเรา แต่มีคนกลางคอยเก็บเงิน
7. E-Market Place and Exchanges ซึ่งE-Market place ก็คล้ายๆกับ Market Place คือสถานที่ๆ คนเอาของมาขายกันเยอะๆ แต่ว่าสถานที่บนโลกจริงๆ นั้นถูกจำกัดด้วยสถานที่ ระยะทาง เพียงแต่ E-Market Place จะตัดข้อจำกัดออกไป คือมีใครจากที่ไหนในโลกมาขายก็ได้ อีกคนเป็นผู้ซื้อจากที่ไหนในโลกมาซื้อก็ได้ มาซื้อขายได้เช่นกัน รวมถึง Exchanges ก็มีทั้งซื้อและขายอยู่ในเว็บเดียวกัน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนั้นก็มีการซื้อเป็นกลุ่ม เช่น การไปซื้อตำรา หากต้องการส่วนลดมากก็ควรรวมกันซื้อหลายคน เราก็สามารถทำได้เนื่องจากว่าเราเรียนห้องเดียวกัน แต่ถ้าบนโลก Internet ก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราไม่รู้จักกัน รวมตัวกันเพื่อขอส่วนลดได้
8. แต่ถ้าไม่มี Internet ก็ทำไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้จักกัน
ดังนั้น เวลาเข้าไปดู Web site ก็ต้องคิดไปด้วยว่า Business Model ของเค้าคืออะไร กำลังจะขายอะไรให้ใคร ลองดูว่าเค้าทำอะไรอยู่

ตอนนี้องค์กรธุรกิจ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน Business Model อันเนื่องมาจาก IT ที่ทำให้เราคิดรูปแบบใหม่ๆ
ได้ และอันเนื่องมาจากแรง Pressures ต่างๆ ที่เข้ามา ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ อันนี้เราเรียกว่า Business Pressures ซึ่งจะมีผลกระทบต่อองค์กรว่าต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง มีทั้งทางบวก ทางลบ มีทั้งอุปสรรค และโอกาสในการทำธุรกิจ เรียกว่าบางคนก็เปลี่ยนวิกฤต ให้เป็นโอกาสได้เหมือนกัน
> แรงกดดันของหน่วยงานจะรวมทั้งของรัฐ บางส่วนด้วย ก็มี 3 ด้านใหญ่ๆ ด้วยกัน ก็คือทางด้านการตลาด(Market Pressures) ทางด้านเทคโนโลยี(Technology Pressures) และ ทางด้านสังคมการเมือง(Societal Pressures)
> วิธีการแก้ไข แก้ปัญหาโดยมี IT เป็นเครื่องมีอหลักในการจะช่วยสร้างเครื่องมือในการช่วยแก้ปัญหา
> ในตาราง 1.3 หน้า15 จะมีรายละเอียดว่าองค์กรต่างๆมีวิธีแก้ไขหรือตอบโต้อย่างไร เป็นแนวคิดของเรา เช่น ถ้าเรากำลังประสบปัญหาด้านผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่นี้ เราก็มาดูว่าเค้าทำกันยังไง แก้ไขกันอย่างไร ดูในตาราง 1.3

Three Types of Business Pressures
1. Market Pressures
- Global Economy and Strong competition เศรษฐกิจไม่ได้เป็นกรอบของประเทศใดประเทศหนึ่ง มันมีผลกระทบต่อทั่วโลก ถ้าทั่วโลกดีก็ดีไปด้วย แต่ถ้าแย่ก็แย่ไปด้วย และก็มีการแข่งขันกันสูง ทุกชาติสามารถมาแข่งขันกันได้
- Workforce ค่าจ้างแรงงานที่แตกต่างกัน มีการขาดแคลนแรงงานบ้าง
- Powerful Customer ลูกค้าที่ซื้อของเรามีอำนาจต่อรองมากขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากข้อมูลข่าวสารนั่นเอง คือ เราสามารถรู้ราคาของในแต่ละที่ แต่ละห้าง แต่ละประเทศขายเท่าไหร่ ทำให้มาต่อรองราคาได้มากขึ้น เราในฐานะผู้ขายก็จะลำบากขึ้นในการบริหาร

2. Technology Pressures
- Innovation and Obsolescence เทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง เช่น เทคโนโลยียานยนต์ การเกษตร สิ่งทอ เทคโนโลยีทำให้เกิด product ใหม่มากขึ้น ทำให้เกิดProduct mass cycle วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์สั้นลงในหลายๆตัว อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่เราคิดค้นขึ้นมา
- Information Overload ข่าวสารมากเกินไปทำให้ตัดสินใจยาก เลยไม่รู้ว่ามันจริงรึเปล่า อันนี้ก็เป็นอุสรรคอันนึง

3.Societal Pressures ด้านสังคม มีอะไรที่กระทบบ้าง
- กฎหมายที่ออกมาใหม่บังคับไม่ให้ขายอะไร ให้ขายอะไร หรือกฎหมายที่ยกเลิกไป ก็มีผลทำให้ ของบางอย่างที่เคยขายไม่ได้ก็มาขายได้ ทำให้มีคู่แข่งมากขึ้น
- งบประมาณต่างๆที่ค่อนข้างจะตัดออกไปเยอะ
- การก่อการร้าย อาชญากรรม
- จริยธรรม (สำคัญ)

Organizational Responses
1.Strategic System ระบบที่เป็นเชิงกลยุทธ์
ช่วยหาของแปลกๆใหม่ๆ หรือว่าทำให้ขายของได้ดีขึ้น มีผลกระทบต่อรายได้โดยตรง อันนี้เราเรียกว่า ระบบงานที่เป็นเชิงกลยุทธ์(บทที่10 ก็จะได้เรียนว่าอะไรบ้าง ที่ระบบไอที ที่เป็นเชิงกลยุทธ์ และเรานำมาช่วยองค์กรได้)
2.Customer Focus คือ ใช้เทคนิคอะไรก็ได้ดึงลูกค้า สนใจที่ตัวลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าซื้อของกับเราอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สูญเสียให้กับคู่แข่งของเราไป
3. Make to Order สมัยนี้นิยมผลิตสิ่งที่ปรับเปลี่ยนสเปกได้ตามที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น โดยเราใช้เทคโนโลยีด้านไอที บวกกับsupply chain เข้ามา ทำให้เราผลิตของตามที่ลูกค้าสั่งได้หลายรุ่น โดยที่ต้นทุนไม่สูงขึ้น นี่ก็เป็นข้อดีของไอทีตัวหนึ่งที่ทำระบบ Make to Order ได้
4. Mass Customization ทำจำนวนมากโดยที่ไม่แพง
5. E-business and E- commerce ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการแก้ปัญหาต่างๆ

Doing Business in the Digital Economy

• ยุค digital economy หรือบางทีเรียกว่า Web economy จะสังเกตเห็นว่าจะมีลักษณะหลายๆอย่างที่ทำให้ค้าขายได้คล่องขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์หรือของที่จะขายจะอยู่ในลักษณะ digital format หรือ format ของคอมพิวเตอร์มากขึ้น ที่เราสังเกตเห็นได้ชัดก็คือ หนังสือ หนัง วิทยาศาสตร์ โทรทัศน์ วิทยุ เกมส์ หลายๆอย่างด้วยกัน เพราะมันเป็นแนวโน้ม ถ้าเราไม่ค้าขายด้วย digital product เราก็อาจจะค้าขายไม่ได้อีกแล้ว เช่น ร้านซีดีใหญ่ๆปิดไปเยอะ (ร้าน CD Warehouse) เพราะคนไม่ไปซื้อ เนื่องจากสามารถดาวน์โหลดได้ ทำให้ไม่มีคนไปยืนเลือกซีดีนานๆ ซึ่งเริ่มมีบางอย่างหายไป หรืออย่างร้านหนังสือ ก็จะกลายเป็น E-bookมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่ทำ จะขายอยู่อย่างเดิมมันก็จะขายไม่ได้

• เงิน เงินซื้อขายเป็นดิจิตอล พยายามเป็นดิจิตอล สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันเร็วกว่า ต้นทุนในการบริหารเงินสด ไม่ว่าจะเป็นเหรียญหรือแบงค์เยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราซื้อและขายด้วย transaction เงินที่เป็นดิจิตอลก็จะเร็ว ได้เงินเร็ว เสียเงินเร็ว

• อุปกรณ์ต่างๆในบ้าน ในยุคนี้ก็จะเป็นลักษณะมี chip คืออะไรๆก็มี chip หมด เช่น ตู้เย็น ไมโครเวฟ (ไม่รู้จะใส่ไปทำไม) แต่ว่ามันก็เป็นแนวโน้ม ถ้ามี chip มันก็จะทำให้รู้สึกว่าดีขึ้น

Electronic Business
• การ service ลูกค้า การขาย กิจกรรมต่างๆในการขาย การสั่งของ การส่งของ เปลี่ยนไปในลักษณะ ผ่านคอมพิวเตอร์ ผ่านnetwork เป็นดิจิตอล ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันเร็ว ไม่ค่อยมีใครอยากจะนั่งส่งFax และรับ Fax หรือส่งไปรษณีย์จะน้อยลง เพราะฉะนั้นกิจกรรมต่างๆทางธุรกิจที่หายไปจากกระดาษหรืออุปกรณ์โบราณ ก็จะกลายเป็น E-business กับ E-commerce มาแทนที่

New Economy vs. Old Economy

ตัวอย่าง
1.การซื้อขายหนังสือ สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ได้เช่น Amazon.com มากกว่าจะไปเดินซื้อ
2.การลงทะเบียนเรียน สมัยก่อนใช้บัตรกระดาษแข็งเจาะรู เป็นบัตรยาวๆ เปรียบเทียบคล้ายกับdiskette หรือflash drive ในปัจจุบัน แต่ว่ามันมีข้อมูลแค่ 80 ใบ แล้วก็มีรูๆเพื่อให้คอมพิวเตอร์อ่านแล้ว ก็ถือไปลงทะเบียน ปัจจุบันเราถือflash drive หรือซีดีไป
3. การถ่ายรูป ใช้เป็นกล้องดิจิตอล แทนกล้องที่ใช้ฟิล์ม
4. การซื้อตั๋วเดินทางต่างๆเปลี่ยนไป
5.น้ำมัน(คงเป็นในอเมริกา) ทำนองที่ว่าบริการตัวเอง เดิมก็เติมน้ำมันเองอยู่แล้ว ผนวกกับจ่ายตังค์เองเพิ่มมา
6.ใน New York city ที่เค้าใช้บัตรเดียวในการขึ้นรถโดยสารทุกชนิด ซึ่งที่ฮ่องกงก็ทำคล้ายๆแบบนี้ คือ
Octopus card ในนิวยอร์กมีหลายเมืองที่พยายามทำ เพื่อให้สะดวก
7. การซื้อของแบบที่คนไม่ต้องผ่านCashier คือ ปกติเราซื้อของก็ต้องเอาไปให้เค้า scan แล้วก็จ่ายตังค์
แบบใหม่เราก็เข็นรถเข็นไปมันก็จะอ่านจาก RFID ซึ่งเป็นbarcode แล้วtab barcodeก็จะส่งสัญญาณวิทยุรวด
เดียวเลย เข้าไปออกมาเป็นเงินกี่ดอลล่าร์ แล้วเราก็เอาบัตรไปรูด แล้วก็เข็นรถเข็นต่อไปโดยไม่มี cashier ยืนอยู่
ก็ทำให้เร็วขึ้น

Information System (ระบบสารสนเทศ)
ความจริงการประมวลผลข้อมูลมีมานานแล้ว เพราะว่าสมัยก่อน เลือกตั้ง เราก็มานับคะแนนเสียงกัน ซึ่งการนับ
ก็คือการประมวลผลข้อมูลแบบหนึ่ง แต่การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์นิยมใช้เพราะว่าสะดวก รวดเร็ว มีความถูกต้องกว่า
ระบบสารสนเทศ ประกอบด้วย Inputs / Outputs คือ ข้อมูลดิบหรือ transaction ที่เกิดขึ้นเอามาประมวลผล Output ที่ออกมาก็จะแสดงผลที่หน้าจอ

Computer Based Information System(ระบบประมวลผลสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์)
ประกอบด้วย
1. Hardware
2. Software
3. Data
4. Network
5. Procedure
6. People

ทั้ง 6 ส่วนนี้จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ และทั้งหมดนี้เราเอามาสร้างสิ่งที่เรียกว่า application (โปรแกรมประยุกต์) หรือ ระบบงาน

Application คือ โปรแกรมที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลเฉพาะกิจ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เอามาทำการขาย การค้าปลีก ค้าส่ง การผลิต บริหารงานทรัพยากรบุคคล หรืออะไรก็ตาม เฉพาะเรื่องไป

ระบบIT Failures คือ สร้างความเดือดร้อน และเสียเงินให้กับเจ้าของก็มีเยอะ เช่น
• Dot com in 2000-2001 ก่อนปี 2000 มาแล้วทุกคนบอกว่าอินเทอร์เน็ตมาแล้วต้องใช้ ทำอะไรมาก็ได้ทำมา พอมาถึงจุดๆหนึ่ง business model ก็ไม่เขียน ทำแข่งกัน ไม่รู้ว่าขายอะไร ลูกค้าคือใคร ทำให้เกิด failure ไปเยอะ หรือปิดกิจการ ในช่วงปี 2000-2001

• Disney web sites ที่พยายามสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาก็ไม่สำเร็จ เสียเงินไปเยอะ แล้วก็ทำโฆษณาก็ไม่ได้ ขายของก็ไม่ได้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

• NIKE 400$ M in 2001 ขณะนั้นมีรองเท้ารุ่นหนึ่งขายดีมากเลย เค้าก็มาตั้งระบบคอมพิวเตอร์ จะทำ Supply chain management แล้วก็มี bug ขึ้นใน Supply chain management ที่ทำให้เกิด material วัตถุดิบเกินจำนวนขึ้น กระทบไปถึงรองเท้ารุ่นนั้นทำให้เสียรายได้ไปเยอะ

• AT&T CRM in 2004 บริษัทโทรคมนาคมในอเมริกา วันดีคืนดีในปี 2004 อยากจะทำระบบบริหารงานความสัมพันธ์กับลูกค้า(Customer relationship management) อยู่ดีไม่ว่าดีไปซื้อมา แพงก็แพง แล้วก็ failure

ทำไมถึงมาเรียน IT กัน
• เป็นงานที่สำคัญในองค์กร หรือเปล่าอาจจะใช่หรือไม่ใช่
• IT จะทำให้จำนวนพนักงานที่เป็นผู้บริหารระดับกลางลดลง ก็ไม่เกี่ยวกับเรา
• IT จะทำให้งานของหัวหน้างาน (manager) เปลี่ยนไป
• IT มีผลกระทบต่อพนักงานที่ทำงาน
• IT มีผลกระทบต่อพนักงาน ทางด้านสุขภาพ
• ที่สำคัญ IT ใช้กับทุกแผนกในองค์กร
• IT ช่วยให้คนมีโอกาสมากขึ้น
• IT ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
• สุดท้าย เรียนเพื่อว่า ถ้าเราไม่รู้IT ก็จะมีคนมาเอาเปรียบเราได้ และอีกข้อหนึ่ง คือ ทำให้คนรวยขึ้นได้
จำนวนหนึ่ง เยอะเหมือนกัน

• เพราะฉะนั้นต้องตอบตัวเองได้ว่าเรียน IT เพื่ออะไร : เพื่อไปเป็นผู้บริหาร
• จากหนังที่ได้ดูไป ให้ข้อคิดที่ว่า “เราควรจะอ่านหนังสือมาก่อนที่จะเรียน”

No comments: